- Advertisement -

หลังการประชุม นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% สู่ระดับ 1.50-1.75% โดยเป็นการปรับขึ้นมากที่สุด นับตั้งแต่ปี 2537 เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น

ทำให้ ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐฯ อาทิ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, ซิตี้กรุ๊ป อิงค์ และ เวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (Prime Lending Rate) 0.75% สู่ระดับ 4.75% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด

ทั้งนี้ เฟดจะต้องควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงขึ้นหลังเกิดสงคราม ยูเครน-รัสเซีย และเรื่องดังกล่าวได้กลายมาเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง เนื่องจากราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ประชาชนไม่พอใจการทำงานรัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ทำให้คะแนนความนิยมของ โจ ไบเดน ลดลง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการเลือกตั้งช่วงกลางเทอมที่จะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้

ก่อนหน้านี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้ระบุหลังการประชุม FOMC เดือน มิ.ย. ว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% หรือ 0.75% ในการประชุมเดือน ก.ค.

ซึ่งมองว่าเป็นการปรับขึ้นในระดับที่เหมาะสม อย่างไรก็ดี ไม่คิดว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงถึง 0.75% จะกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับเฟด

- Advertisement -

นอกจากนั้น ในการประชุมครั้งนี้ FOMC เดือน มิ.ย. เฟดเปิดเผยการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ว่า อัตราดอกเบี้ยสิ้นปีนี้ จะแตะระดับ 3.4% นั่นหมายความว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1.75% ภายในปีนี้ และคาดว่าในปี 2566 อัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.8% และชะลอตัวสู่ระดับ 3.4% ในปี 2567 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ที่ 2.5%

- Advertisement -