หลังจากที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาระบุภายหลังการประชุมนโยบายการเงินของเฟด (FOMC )เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา(อ่านเพิ่มเติม …ปธ.เฟด ระบุคงอัตราดอกเบี้ยต่ำจนถึงปี 2566) ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ไปจนถึงปี 2566 และจะใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อไปจนกว่าเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะดีขึ้น
ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวกับ GoldAround.com ว่า การที่เฟดยังเดินหน้านโยบายดอกเบี้ยต่ำ และยังยืดเวลาการใช้นโยบายดังกล่าวออกไปอีก รวมถึงการปล่อยให้เงินเฟ้อมีความยืดหยุ่นได้ จะส่งผลดีกับราคาทองคำระยะยาว อย่างไรก็ดีในช่วงนี้ราคาทองคำในช่วงนี้ยังเคลื่อนไหวในกรอบ 1,920 1,970 ดอลลาร์อย่างมั่นคง เพื่อรอการ Brake out ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ เพราะขณะนี้กรอบการเคลื่อนไหวของราคา ก็ได้แคบลงเรื่อยๆ โดยล่าสุดมาอยู่ในระดับ 1,930-1,960 ดอลลาร์แล้ว
“ขณะนี้ตลาดกำลังรอปัจจัยใหม่ๆ และใหญ่ๆ เข้ามาผลักดันราคา จากการคาดการณ์น่าจะเป็นเรื่องของความคืบหน้าการผลิตวัคซีนป้องกัน COVID-19 ที่มีความคืบหน้าในประเทศ ทั้งรัสเซีย จีน รวมถึงอเมริกา ซึ่ง ปธน.ทรัมป์ ระบุว่าน่าจะใช้ได้ก่อนการเลือกตั้งเดือน พ.ย. ทั้งนี้หากใช้ได้จริงจะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำแน่นอน ในทางกลับกันแต่หากใช้แล้วมีปัญหาจะยิ่งทำให้ราคาทองคำพุ่งไปอีก” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าว
ส่วนประเด็นอื่นๆ ที่ต้องติดตามก็คือ นโยบายทางการเงิน โดยเฉพาะเรื่องการอัดฉีดเงินผ่าน QE แม้ว่าในระยะหลังประเด็นนี้จะไม่มีการพูดถึงมากนัก แต่เชื่อว่าหากตัวเลขทางเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นหลายประเทศก็พร้อมที่จะทำเพิ่มเติมทั้งอเมริกาและยุโรป ซึ่งการดำนเนินโยบายในส่วนนี้จะส่งผลต่อภาคการเงินในระยะยาว แต่จะส่งผลดีต่อราคาทองคำ นอกจากนั้นยังมีประเด็นข้างเคียงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ทั้งเรื่องของการเมือง และเทคโนโลยี
“ที่ผ่านมาราคาทองคำเคยวิ่งทะลุกรอบไปหลายครั้ง ทั้งกรอบบนที่เคยขึ้นไปแตะเกิน 1,970 ดอลลาร์ และกรอบล่างที่ลงไปแตะ 1,905 ดอลลาร์ แต่ราคาก็ไม่สามารถยืนอยู่ได้ก่อนจะกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบ ซึ่งการ Brake out ต้องรอดูว่าราคาจะสามารถยืนระยะได้ 1 วันหรือไม่ เพราะกรอบราคาที่ใช้เป็นกรอบรายวัน และราคาหลังจาก Brake out อาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ประมาณ 100 ดอลลาร์ ทั้งนี้หากมองถึงผลสำรวจของศูนย์วิจัยทองคำ พบว่านักลงทุนเชื่อว่าราคาลงจะถึง 55 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหากจะมองย้อนจากสถิติในปีนี้ ถือว่ามีความแม่นยำมาก”ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าว
อย่างไรก็ดีหากราคาได้ปรับลดลงไประดับ 100 ดอลลาร์ ก็จะเป็นเพียงการปรับลดในเชิงเทคนิค ทำให้ราคาต้องไปเริ่มไต่ขึ้นมาใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าราคาทองคำมีเสถียรภาพมาก เพราะเมื่อราคาลดต่ำลงก็จะมีแรงซื้อกลับเข้ามามาก เพราะเทรนด์ใหญ่ของราคาทองคำเป็นขาขึ้น อันเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยังสั่งสมอยู่อีกมาก และส่วนตัวยังเชื่อว่าราคาจะกลับขึ้นไปแตะระดับ 2,000 ดอลลาร์อีกครั้ง แต่จะทะลุขึ้นไปแตะจุดสูงสุดเดิมหรือไม่นั้นคงจะต้องมาดูสถานการณ์ในช่วงนั้นๆประกอบด้วย