ในสัปดาห์ที่ผ่านมา Bank of America ได้เผยแพร่รายงานบทวิเคราะห์ของตลาดทองคำ โดย นักวิเคราะห์ ของ Bank of America มองว่าตลาดทองคำยังคงติดอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์ ต่อออนซ์
แม้ว่าความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจขาลงจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะดันราคาทองคำในระยะสั้น ทำให้ราคาทองคำยังต้องเผชิญอุปสรรคต่าง ๆ ท่ามกลางความเคลื่อนไหวของธนาคารกลาง ที่เดินหน้าแผนฟื้นฟูนโยบายการเงินให้เป็นปกติ
ปัจจัยสำคัญที่อาจจะหนุน ราคาทองคำ คือ “stagflation” หรือ “ภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อ” แต่นักวิเคราะห์กล่าวว่า stagflation ในปัจจุบันแตกต่างจากช่วงอื่น ๆ และราคาทองคำยังถูกกดดันจากตลาดแรงงานที่ยังคงรักษาระดับได้ค่อนข้างดี แม้ว่าจะมีช่วงเวลาที่ตัวเลขการจ้างงานซบเซาก็ไม่ได้เป็นโดยตลอด
นอกจากนั้น Bank of America ยังมองว่า แม้วิกฤตการณ์อุปทานทั่วโลกจะผลักดันให้ราคาพลังงานสูงขึ้น ซึ่งจะมาพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อ แต่มองว่าราคาพลังงานก็ยังอยู่ต่ำกว่าระดับที่เคยสร้างปัญหาให้กับเศรษฐกิจโลกมาก่อน ซึ่งในทศวรรษที่ 1970 ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น มีส่วนทำให้เกิดภาวะซบเซา
ทั้งนี้ หากจะดูตั้งแต่ต้นปีนี้ ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) พุ่งขึ้น 70% สู่ระดับ 82.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แม้ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ได้สร้างปัญหาให้กับการฟื้นตัวในระดับมหภาค แต่ด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ ถูกมองว่าเป็นเพียงชั่วคราว และควรเป็นเหตุผลที่ผลักดันให้ธนาคารกลาง ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สูงขึ้น ซึ่งจะกดดันราคาทองคำโดยตรง
แต่ Bank of America มองว่า ทองคำอาจจะไม่ได้ถูกกดดันจากการขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงนัก เพราะคาดว่า การจะปรับขึ้นดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากหนี้ภาครัฐที่ได้ขยายตัวมากขึ้น จากการอัดฉีดเงินเพื่อแก้วิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งหากปล่อยให้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเกินความจำเป็น ก็จะส่งผลต่อภาระค่าดอกเบี้ยของภาครัฐ ที่ต้องเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทำให้เรื่องนี้อาจจะเป็นตัวหนุนราคาทองคำ
นอกจากนี้ Bank of America คาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.90% ภายในไตรมาสที่สี่ของปี 2565 ในขณะเดียวกัน CPI ของสหรัฐฯ คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2.4% ภายในสิ้นปีหน้า
ที่มา : Kitco.com
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.