ทองคำสุดฮอต ทำ All Time High 6 เดือนติด เฉพาะเดือน ต.ค.ทะยาน $110 หรือ 4.24% ระยะยาวลุ้นบินไกล $3,000 – แต่ถ้า “ทรัมป์” คว้าชัยอาจย่อแรง
คุณวรุต รุ่งขํา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บจ.วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส – YLG
ราคาทองคำยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง โดยได้ปิดเดือน ต.ค. บวกมากว่า $100 และเป็นการปิดตลาดในแดนบวก 8 เดือนติด
แต่ในช่วงต้นเดือน พ.ย. จะมี 2 อีเวนต์สำคัญ คือ การเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐ และ การประชุม FOMC
GOLD TALK ได้รับเกียรติจาก คุณ วรุต รุ่งขํา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บจ.วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส มาร่วมพูดคุยถึงแนวโน้มราคาทองคำในอนาคต และการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงการเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ
มาดูกันว่า ผลจากการเลือกตั้ง จะส่งผลแต่แนวโน้มราคาทองคำจะให้มีการขยับอย่างไรได้บ้าง โอกาสที่เราจะได้เห็นราคาทองคำ gold spot ไปแตะ $3,000 และ ทองคำไทยแตะ 50,000 บาท เป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน!?
คุณวรุตฯ กล่าวว่า ราคาทองคำ gold spot ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 8 เดือน ร่วม $700 และเป็นการทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาล หรือ All Time High (ATH) 6 เดือนติดต่อกัน
ภาพดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงโมเมนตั้มของราคาทองคำที่เป็นบวกค่อนข้างมาก
ขณะที่ ภาพรวมเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา บวกเพิ่มขึ้นมา $110 หรือ 4.24% โดยราคาขึ้นไปแตะสูงสุดที่ระดับ $2,790 แม้ว่าเมื่อคืนนี้ (31 ต.ค.) ราคาจะเคลื่อนไหวความผันผวน ก่อนจะปรับลดลงมาร่วม $60 ก็ตาม
โดยภาพรวม ราคาทองคำเดือน ต.ค. ยังได้ยกโลว์ยกไฮต่อเนื่อง ภาพดังกล่าวก็สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางและโมเมนตัมของราคาทองคำที่เป็นบวกในระดับรายเดือนที่ค่อนข้างชัดเจน
ปัจจัยหนุนหลัก ๆ ในเดือน ต.ค. มาจากสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยจังหวะที่ราคาทองคำทำ All Time High ก็มาจากเหตุอิสราเอลโจมตีอิหร่าน และยังมีเรื่องการคาดการณ์ดอกเบี้ยฝั่งสหรัฐฯ ก็ยังคงเป็นแนวโน้มขาลง แม้ระยะสั้นว่าจะมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในระดับที่น้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์หรือประเมินเอาไว้
แต่ตลาดก็ยังมองในระยะเวลาปีนี้และปีหน้าว่า แนวโน้ดอกเบี้ยยังเป็นทิศทางขาลง ประกอบกับได้มีความผันผวนของตลาดเงิน-ตลาดทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า
ส่วนสถานการณ์สำคัญเดือน พ.ย. มองว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาใกล้ชิด คือ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งจะทราบผลในช่วงดึก คืนวันที่ 6 พ.ย. โดยคาดว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในระดับ 0.25% สะท้อนจาก CME FED Watch tool นักลงทุนให้น้ำหนัก 100%
ทั้งนี้ หากผลออกมาตามคาด ก็อาจจะไม่ส่งผลต่อตลาดมากนัก แต่ตลาดจะรอดูแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุม เดือน ธ.ค. ว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในระดับ 0.25% อีกหรือไม่
เพราะตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งในระยะหลัง และตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น และหากว่าตัวเลขแรงงานในวันนี้ออกมาดี ก็อาจจะทำให้เฟดอาจจะชะลอการลดดอกเบี้ยลงได้ และจะเป็นปัจจัยที่มากดดันราคาทองคำ
ขณะที่ อีกปัจจัยที่ยังต้องตามต่อ ก็คือ เรื่องความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน หลังจากที่อิสราเอลได้รุกคืบต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนต่างเฝ้าจับตามองว่าอิหร่านจะตอบโต้อย่างไร
โดยบางส่วนคาดว่า อิหร่านจะใช้ช่วงเวลาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ บุกโจมตีตอบโต้ก็เป็นได้ เพราะจะเป็นช่วงสูญญากาศระหว่างที่จะมีการแต่งตั้งประธานาธิบดีคนใหม่
จึงทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงมาในกรอบจำกัด แต่นักลงทุนอีกส่วนก็คาดว่า อิหร่านต้องอาศัยเวลาอีกระยะเพราะได้รับความเสียหายจากการถูกโจมตีในรอบที่ผ่านมา
ส่วนเรื่องของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเห็นได้ว่า ก่อนการเลือกตั้งนักลงทุนได้มีการปรับพอร์ต ด้วยการเทขายทองคำออกมาบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง แต่ราคาทองคำยังสามารถเคลื่อนไหว sideway หรือเป็นการทรงตัวรักษาฐานเอาไว้ จนกว่าจะทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พ.ย.
หากว่า “กมลา แฮร์ริส” ได้รับชัยชนะ มองว่า นโยบายต่าง ๆ อาจจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นได้ดีสมัย ปธน.โจ ไบเดน ก็มีโอกาสที่จะปรับขึ้นต่อได้ในสมัย คุณกมลา แฮร์ริส เพราะว่านโยบายไม่ได้มีความแตกต่างกันมากนัก
ในทางตรงกันข้าม ถ้าเปลี่ยนขั้วมาเป็น “โดนัลด์ ทรัมป์” มองว่าหลายนโยบายจะมีการเปลี่ยนแปลงไป อาจสร้างความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนได้ เพราะ “โดนัลด์ ทรัปม์” จะเน้นเรื่องความแข็งแกร่งของอเมริกา น่าจะทำให้ดอลลาร์กลับไปแข็งค่าได้ จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงาน
นอกจากนี้ นโยบายความขัดแย้งระหว่างประเทศ “โดนัลด์ ทรัมป์” ก็ชูนโยบายสงบศึก หรือการลดความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึง รัสเซีย-ยูเครน ซึ่งอาจจะทำให้ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยถูกลดความน่าสนใจลง
ดังนั้น ผลการเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐฯ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยพื้นฐานที่นักลงทุนยังคงจับตาอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะมาเป็น ปธน.สหรัฐฯ ทาง YLG ยังมองว่า ในระยะกลางและยาว ราคาทองคำมีโอกาสแตะ $3,000 แม้ว่านโยบายของ ปธน.สหรัฐฯ คนใหม่ จะส่งต่อราคาทองคำในระยะกลางที่ต่างกัน แต่ภาพทองคำในระยะกลางและยาวจากจากวานิชธนกิจใหญ่ ๆ มองว่า ความต้องการทองคำจากธนาคารกลางต่าง ๆ เม็ดเงินที่ไหลไปยัง GOLD ETF หรือกองทุนทองคำ ยังอยู่ในระดับสูง
รวมถึงความต้องการทองคำในฐานสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี ซึ่งปีนี้มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่า 30% ทำให้ทองคำมีโอกาสที่จะถูกซื้อเพิ่มเติมจากนักลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ทำให้ราคาทองคำมีโอกาสขึ้นไปแตะ $3,000 ได้
อย่างไรก็ดี หาก “โดนัล ทรัปม์” ได้รับเลือกให้เป็น ปธน. และตลาดมีการตอบรับในเชิงลบ อาจจะเห็นราคาทองคำพักฐานใหญ่ได้ โดยให้จับตาแนวรับ $2,686 ถ้ายังยืนได้ แนวโน้มระยะกลางของราคาทองคำยังเป็นบวก
แต่หากหลุดแนวดังกล่าวมายัง 2,604 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของเดือน ต.ค. และหลุดลงไป ภาพรายเดือนจะเสียไป
ทั้งนี้ มองว่านักลงทุนระยะยาวยังมองโซนแนวรับ 2,686 และ 2,604 ดอลลาร์ เป็นจุดซื้อสะสม
โดยราคาทองคำไทย ถ้าคำนวนจากเงินบาทที่ระดับ 33.78 บาทต่อดอลลาร์ หากราคาทองคำ gold spot ลงมาที่ $2,686 ทองไทยจะอยู่ที่ 43,000 บาท หากราคา gold spot ลงมาที่ $2,604 ราคาทองคำไทยจะอยู่ที่ 41,700 บาท สามารถทยอยสะสมได้
เพราะภาพทองคำระยะกลางและระยะยาวเป็นบวก ถ้าคิดจากปัจจุบัน 44,000 บาท ก็จะเห็นว่าราคาได้ลดลงมาระดับ 2,000-3,000 บาท ถือเป็นจังหวะที่ดีในการใช้เป็นแนวรับรายเดือน และเป็นแนวรับกรณีที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะเกิด Panic Selling (การขายแบบตื่นตระหนกจำนวนมากซึ่งทำให้ราคาลดลงอย่างมาก) ลงมาได้ ต้องมารอดูว่าราคาจะหลุดลงไปหรือไม่
ส่วนแนวต้านรายเดือน จะอยู่ที่ $2,800 และ $2,850 หรือจะคิดเป็นราคาทองคำไทยที่ 44,900 และ 45,700 บาท ซึ่งอาจจะไม่สูงมาก เพราะตลาดได้ซึมซับปัจจัยบวกไปแล้วระดับหนึ่ง ถ้าราคาขยับใกล้โซนดังกล่าว ต้องมารอดูว่าจะมีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาซัพพอร์ท ทำให้ทองคำสามารถเบรกเอาท์ระดับดังกล่าวได้หรือไม่
รับชมคลิป
Comments are closed.