- Advertisement -

มาดูผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เดือน ก.ค. ที่เสร็จสิ้นไปเมื่อช่วงดึกคืนวานนี้

โดยที่ประชุมมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.75% สู่ระดับ 2.25-2.50% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ เดือน ธ.ค. 2561

ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน ถือเป็นการดำเนินการที่เข้มงวดที่สุด นับตั้งแต่ที่เฟดกำหนดให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเป็นเครื่องมือสำคัญด้านนโยบายการเงินในช่วงทศวรรษ 1990

นอกจากนั้น เฟดยังได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในการประชุมครั้งถัดไป รวมทั้ง ปรับลดขนาดงบดุล โดยให้เหตุผลว่า แม้การใช้จ่ายและการผลิตจะชะลอตัวลง แต่การจ้างงานยังคงแข็งแกร่ง และอัตราว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำ

อย่างไรก็ดี เฟดได้เตือนว่า เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งสะท้อนถึงภาวะไร้สมดุลที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโควิด19, ราคาอาหาร และ พลังงานที่พุ่งสูง และแรงกดดันจากราคาในวงกว้าง

- Advertisement -

ขณะที่สงครามในยูเครน และ เหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก

ด้าน นาย เจอโรม พาวเวล ประธาน เฟด กล่าวว่า ตนไม่คิดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยในขณะนี้ เพราะมีหลายภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งมากโดยเฉพาะตลาดแรงงาน ดังนั้น คงไม่ใช่เรื่องสมเหตุสมผลที่จะประเมินว่า เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ในเมื่อตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่งอย่างมาก

ขณะที่ Avery Shenfeld, senior economist at CIBC กล่าวว่า

คำแถลงของเฟด สะท้อนให้เห็นถึงการมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แม้ว่าเฟดจะมีความกังวลอยู่บ้างเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเฟดยังเปิดโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง หากเศรษฐกิจยังคงชะลอตัว

- Advertisement -

ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะเตรียมปรับนโยบายการเงินตามความเหมาะสม หากมีความเสี่ยงที่อาจจะเข้ามาขัดขวางเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฟดจะพิจารณาข้อมูลที่หลากหลาย ทั้งข้อมูลด้านสาธารณสุข สภาวะตลาดแรงงาน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และการคาดการณ์เงินเฟ้อ และการพัฒนาด้านการเงินและระหว่างประเทศ

- Advertisement -