- Advertisement -

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคทองคำเคลื่อนไหวผันผวน ก่อนจะมาปิดสัปดาห์เหนือ 1,840 ดอลลาร์ ประเด็นหลักที่นักลงทุนติดตาม คือ การประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของฝั่งผู้บริโภคบริโภค เดือน เม.ย. แตะระดับ 0.8% และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้นแตะ 4.2% มากที่สุดนับตั้งแต่ เดือน ก.ย. 2008

ขณะที่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือน เม.ย. ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ดีดตัวขึ้น 0.6% หากเทียบเป็นรายปี ดัชนี PPI เดือน เม.ย. พุ่งขึ้น 6.2% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ แต่ราคาทองคำยังไม่สามารถก้าวข้าม 1,850 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวต้านที่สำคัญ

ทั้งนี้ ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวกับ GoldAround.com ว่า ปัจจัยที่กดดันราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง คือ บอนด์ยีลด์ ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจาก 1.4% ขึ้นมาแตะกว่า 1.6% หลังนักลงทุนได้เทขายพันธบัตร เพราะเห็นว่าสัญญาณเงินเฟ้อเริ่มชัดเจน และมีโอกาสที่ FED จะลด QE และปรับอัตราดอกเบื้ยก่อนกำหนด

- Advertisement -

นอกจากนั้น นักลงทุนได้โฟกัสไปที่สินค้าโภคภัณฑ์ตัวอื่น ๆ โดยเฉพาะเหล็ก น้ำมัน ทองแดง รวมถึงสินค้าเกษตรฯ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในปีที่ผ่านมาที่เริ่มเกิดการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทองคำซึ่งอยู่ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างโดดเด่นเพียงรายเดียว แต่มาในปีนี้ ได้มีการกระจายการลงทุนออกไป นอกจากนั้นยังมีตลาดคริปโตเคอเรนซี่ มาเป็นอีกทางเลือกด้วย

รับชมคลิป

“ราคาทองคำได้พุ่งสูงขึ้นในปีที่ผ่านมาเพราะโควิด ก่อนจะปรับตัวลดลงไปเพราะเรื่องของวัคซีนป้องกันโควิด และได้ขยับกลับมาสูงขึ้นอีกครั้งเพราะการอัดฉีดเม็ดเงินปริมาณมหาศาล เพื่อเข้าไปช่วยเหลือชาวอเมกันและธุรกิจต่าง ๆ ประกอบกับในรัฐบาลชุดใหม่ มีนางเจเน็ต เยลเลน มาเป็น รมว.คลัง ทำให้นักลงทุนมีความกังวล และจับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกลัวว่าเจ้าตัวจะกดดันให้เฟด ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นก่อนเวลา จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน แต่ระยะยาวยังเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจะเป็นผลดีต่อราคาทองคำ” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวกับ GoldAround.com

ทั้งนี้ ทฤษฎีความสัมพันธ์ระหวาง ทองคำ กับ เงินเฟ้อ มีมาตั้งแต่ปี 2006 แต่หลังจากที่เกิด ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ หรือ ‘วิกฤตซับไพรม์’ เริ่มมาจาก “เลห์แมน บราเธอร์ส” สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ได้ประกาศล้มละลาย ได้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ FED ต้องทำ QE เพื่อเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงิน ส่งผลให้ราคาทองคำได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่สถานการณ์คลี่คลาย FED ลดการทำ QE ลง ราคาทองคำก็ลดอย่างรวดเร็วเช่นกัน

- Advertisement -

เมื่อมาถึงปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนไป การจัดอันดับความสำคัญในภาคการลงทุนได้เปลี่ยนไป แม้ว่าการแก้วิกฤตจะมีรูปแบบที่คล้ายกับเมื่อการเกิดวิกฤตซับไพรม์ แต่ตัวเลือกการลทุนได้เปลี่ยนไป โดยมี “บอนด์ยีลด์” เข้ามาคานความร้อนแรงของทองคำ และมองว่าขณะนี้นักลงทุนกำลังจับตาท่าทีของ FED ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป จึงได้เทขายพันธบัตรออกมาก่อน เพื่อที่หวังว่าจะได้ซื้อพันธบัตรที่มีดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของราคาทองคำว่า การที่ราคาทองคำได้ขึ้นมาปิดตลาดที่ 1,840 ดอลลาร์ ได้ ถือว่ามีแนวโน้มที่ดี เพราะหากราคาสามารถทะลุ 1,850 ดอลลาร์ ไปได้ มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นราคาขึ้นไปแตะ 1,875 และ 1,900 ดอลลาร์ แต่ทั้งนี้ มองว่าในช่วงนี้ ราคาทองคำในประเทศยังดูมีอัตราการเติบโตที่ดีกว่า เนื่องจากได้เรื่องของค่าเงินบาทมาช่วยไว้ โดยราคาทองคำสามารถยืนเหนือบาทละ 27,000 บาท ได้ หากราคา goldspot ขึ้นไปแตะ ระดับ 1,875 ดอลลาร์ ก็มีโอกาสที่ราคาทองคำจะขึ้นไปแตะระดับ 28,000 บาทได้ไม่ยาก

- Advertisement -