Gold Around
ราคาทองคำ ข่าวสารและแนวโน้มราคาทองคำวันนี้

ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.96 ดอลลาร์ต่อออนซ์(YLG)

- Advertisement -

0 592

- Advertisement -

29-6-20

คำแนะนำ :

เน้นเก็งกำไรระยะสั้น โดยเปิดสถานะซื้อในโซน 1,764-1,757 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาหลุด 1,757 ดอลลาร์ต่อออนซ์)  พิจารณาปิดสถานะซื้อเพื่อทำกำไรหากราคาไม่ผ่านแนวต้านโซน 1,779 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากผ่านได้สามารถถือสถานะซื้อต่อ

แนวรับ : 1,757 1,740 1,725 แนวต้าน : 1,779 1,795 1,803

จจัยพื้นฐาน :

- Advertisement -

ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.96  ดอลลาร์ต่อออนซ์   แม้ในช่วงต้นราคาทองคำจะเผชิญแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์  และแรงขายทำกำไรจากความต้องการเงินสด  เพื่อโยกเงินเติมมาร์จิ้น และชดเชยผลขาดทุนในตลาดหุ้น  จนส่งผลให้ราคาทองคำร่วงแตะระดับต่ำสุดบริเวณ 1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์  อย่างไรก็ดี  ราคาทองคำดีดตัวขึ้นแรงในเวลาต่อมา  หลังสหรัฐเผยยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 เพิ่มขึ้น 45,255 รายเมื่อในวันศุกร์  โดยมีถึง 34 รัฐที่จำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 เพิ่มขึ้นราว 5%หรือมากกว่าค่าเฉลี่ย 7 วัน  ส่วนค่าเฉลี่ย 7 วันของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งขึ้น 41% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว  สถานการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐเท็กซัสออกคำสั่ง “จำกัด” การดำเนินธุรกิจและการให้บริการบางอย่าง, รัฐวอชิงตัน “ระงับ” แผนการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ระยะที่ 4 และรัฐซานฟรานซิสโกเลื่อนการเปิดธุรกิจออกไปเพื่อรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้น  นั่นสร้างความวิตกว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะยิ่งช้าลง  ทำให้มีแรงช้อนซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย  ขณะที่นักลงทุนเริ่มขายสกุลเงินดอลลาร์ออกมาจนเป็นปัจจัยหนุนทอง  ไม่เพียงเท่านั้น  ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากความตึงเครียดระหว่างจีน-สหรัฐ  หลังนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเผย สหรัฐทำการ “ระงับ” วีซ่าเจ้าหน้าที่จีน ปมบั่นทอนการปกครองตนเองของฮ่องกง  ด้านเจ้าหน้าที่จีนเตือนว่า การที่สหรัฐ “ล้ำเส้น” จีนในประเด็นฮ่องกงและไต้หวัน อาจทำให้จีน “ไม่ปฏิบัติ” ตามข้อตกลงที่จะซื้อสินค้าเกษตรของสหรัฐ ปัจจัยดังกล่าวสะท้อนความไม่แน่นอนในตลาดจึงกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่ม  ส่งผลให้ราคาทองคำดีดตัวขึ้นกว่า 25 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากระดับต่ำสุดในระหว่างวันมาปิดตลาดในวันศุกร์บริเวณ 1,770 ดอลลาร์ต่อออนซ์ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่ม +3.51 ตัน  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายของสหรัฐ

จจัยทางเทคนิค :

หลังจากราคาทิ้งตัวลง มีแรงซื้อดันให้ราคาทองคำดีดตัวขึ้นกลับมาเคลื่อนไหวใกล้ระดับสูงสุดในรอบกว่า 7 ปีครึ่ง  เบื้องต้นหากราคาสามารถสร้างฐานเหนือแนวรับ 1,764-1,757 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้แข็งแกร่ง และเมื่อราคาจะพยายามทดสอบแนวต้านโซน 1,779 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากผ่านได้ประเมินแนวต้านถัดไปโซน 1,790-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ระดับสูงสุดเดือน ก.พ.,ต.ค. ปี2012)

กลยุทธ์การลงทุน :

เปิดสถานะซื้อในบริเวณ 1,764-1,757 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ตัดขาดทุนหากราคาหลุดบริเวณ 1,757 ดอลลาร์ต่อออนซ์) หากรับความเสี่ยงได้น้อย หรือ หากราคาไม่สามารถยืนเหนือ 1,779 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ อาจต้องพิจารณาปิดสถานะซื้อเพื่อทำกำไร

- Advertisement -

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐระงับการออกวีซ่าแก่เจ้าหน้าที่จีนจากความขัดแย้งฮ่องกง  กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐสั่งห้ามออกวีซ่าแก่เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดเสรีภาพพลเมืองฮ่องกง ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงระบุว่า เป็นการเปิดศึกเพื่อกดดันให้จีนระงับการออกมาตรการจำกัดครั้งใหม่ต่อฮ่องกง  นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐระบุว่า เขาออกมาตรการสกัดการเข้าประเทศของ “เจ้าหน้าที่จากพรรคคอมมิวนิสต์จีนทั้งปัจจุบันและอดีต ซึ่งเชื่อว่ารับผิดชอบหรือสมรู้ร่วมคิดในการบั่นทอนการปกครองตนเองระดับสูงของฮ่องกง” เขาระบุว่า สมาชิกครอบครัวอาจได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ตามธรรมเนียมของเรื่องวีซ่า เขาไม่ได้เอ่ยชื่อเจ้าหน้าที่
  • (+) สหรัฐออกคำเตือนเรื่อง”Huawei”หลังอังกฤษไฟเขียวศูนย์วิจัยชิพ 1 พันล้านปอนด์  สหรัฐออกคำเตือนใหม่เรื่องบริษัท Huawei ต่ออังกฤษ หลังทางการท้องถิ่นของอังกฤษอนุมัติการตั้งศูนย์วิจัยและผลิตชิพวงเงิน 1 พันล้านปอนด์ (1.24 พันล้านดอลลาร์) ของบริษัท Huawei  ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีจีน ในเมืองเคมบริดจ์เชียร์  สมาชิกสภาเขตเซาท์ เคมบริดจ์เชียร์ มีมติ 9 ต่อ 1 เสียงสนับสนุนการสร้างศูนย์ดังกล่าวในวันพฤหัสบดี ซึ่งในช่วงเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังเปิดไฟเขียว กระทรวงต่างประเทศสหรัฐย้ำการกล่าวอ้างว่า Huawei สร้างความเสี่ยงต่อความมั่นคงแห่งชาติ โดยอ้างว่า บริษัทแห่งนี้เชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) 
  • (+) ดอลล์อ่อนเทียบสกุลเงินหลัก วิตกโควิดระบาดเพิ่มถ่วงเศรษฐกิจสหรัฐ  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขายดอลลาร์ออกมาท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ยืดเยื้อจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสหรัฐ หลังจากที่มีรายงานการพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในหลายสหรัฐ ซึ่งส่งผลให้มีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.01% สู่ระดับ 97.4326 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 107.18 เยน จากระดับ 107.20 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9474 ฟรังก์ จากระดับ 0.9489 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3656 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3649 ดอลลาร์แคนาดา  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1228 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1215 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าแตะที่ระดับ 1.2344 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2405 ดอลลาร์
  • (+) ดาวโจนส์ปิดร่วง 730.05 จุด วิตกหลายรัฐสั่งล็อกดาวน์หลังโควิดพุ่ง  ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงมากกว่า 2% เมื่อคืนนี้ (26 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐจะเป็นไปอย่างล่าช้า หลังจากหลายรัฐของสหรัฐกลับมากำหนดข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจอีกครั้ง เพื่อรับมือกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้น  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,015.55 จุด ร่วงลง 730.05 จุด หรือ -2.84%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,009.05 จุด ร่วงลง 74.71 จุด หรือ -2.42% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,757.22 จุด ร่วงลง 259.78 จุด หรือ -2.59%
  • (+) ค่าเฉลี่ย 7 วันของผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ของสหรัฐพุ่งเมื่อเทียบสัปดาห์ที่แล้ว  สำนักข่าว CNBC ระบุว่า ผลการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ พบว่า ค่าเฉลี่ย 7 วันของจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ของสหรัฐพุ่งขึ้นมากกว่า 33,000 ราย โดยเพิ่มขึ้นกว่า 38% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว  ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า 35 รัฐทั่วสหรัฐมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นราว 5% หรือมากกว่า โดยอิงจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเฉลี่ยของจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว  ส่วนอัตราการติดเชื้อของรัฐเท็กซัสและแอริโซนาอยู่ในระดับสูงเกิน 10% ซึ่งเป็นระดับที่ต้องเฝ้าระวัง ขณะที่จำนวนผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นใน 15 รัฐ
  • (+) สหรัฐเผยการใช้จ่ายผู้บริโภคพุ่งขึ้นในเดือนพ.ค. หลังทรุดตัวจากพิษโควิด  กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้น 8.2% ในเดือนพ.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 9.0% หลังจากดิ่งลง 12.6% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการเก็บรวบรวมข้อมูลในปี 2502
  • (-) ผลสำรวจม.มิชิแกนชี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวขานรับคลายล็อกดาวน์  ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 78.1 ในเดือนมิ.ย. จากระดับ 72.3 ในเดือนพ.ค.
  • (-) สหรัฐเผยดัชนี PCE พื้นฐานขยับขึ้นในเดือนพ.ค. หลังร่วงลงในเดือนเม.ย.  กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ค. หลังจากร่วงลง 0.4% ในเดือนเม.ย.  เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.0% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.0% เช่นกันในเดือนเม.ย.

ขอขอบคุณ  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

- Advertisement -

Leave A Reply

Your email address will not be published.

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More