ตลาดค้าทองคำในประเทศเริ่มคึกคักหลังกลับเข้าโหมดปกติ AUSIRIS ชี้เทรนด์ขาขึ้น ราคายกฐานเป็น $1,600-1,900
03-06-20
หลังจากที่สมาคมค้าทองคำได้ ประกาศให้กลับมาใช้ส่วนต่าง ระหว่างราคาทองคำแท่งขายออกและรับซื้อคืน หรือ สเปรด ในอัตราปกติ คือ บาทละ 100 บาท โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. ที่ผ่านมา
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ออสสิริส (Ausiris) กล่าวกับ GoldAround.com ว่า การขยับสเปรดราคาลงมาบ่งชี้ได้ว่าตลาดการค้าทองคำได้กลับเข้ามาสู่ภาวะสมดุลอีกครั้ง แม้ว่าจะยังไม่เต็มร้อยก็ตาม ที่สำคัญจะส่งผลดีต่อตลาดค้าทองคำในประเทศ เพราะจะทำให้ปริมาณการซื้อขายทองคำเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนระยะสั้น เพราะที่ผ่านมา การจะเอาชนะส่วนต่างราคาค่อนข้างลำบาก และเชื่อว่าขณะนี้ นักลงทุนจะทยอยกลับมาเข้าซื้ออีกครั้ง หลังราคาทองคำได้ลดต่ำลงมาในระดับบาทละ 25,800-26,000 บาท
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในภาพรวมมองว่า เทรนด์การเคลื่อนไหวจะเป็นขาขึ้นค่อนข้างชัดเจน และกรอบราคาในภาพใหญ่ได้ยกฐานขึ้นเป็น 1,600-1,900 ดอลลาร์ ขณะที่กรอบการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงนี้ จะอยู่ระหว่าง 1,700 -1,740 ดอลลาร์ โดยราคาจะตั้งที่ 1,720 ดอลลาร์เป็นฐานใหญ่ และราคาจะขยับขึ้นไปวิ่งอยู่เหนือแนวราคานี้เป็นส่วนใหญ่ แต่ยังไม่สามารถทะลุไปยืนเหนือ แนว 1,740 ดอลลาร์ได้ ต้องมารอดูว่าจะมีปัจจัยอะไรใหม่ ๆ เข้ามาหนุนบ้าง
ส่วนแนวรับที่ระดับ 1,700 ดอลลาร์ ค่อนข้างจะแข็งแกร่งมาก ทำให้โอกาสที่ราคาจะหลุดทะลุลงไปค่อนข้างยาก และหากจะหลุดลงไปได้ก็จะไม่ลึกมาก ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้าลงทุนแนะนำเข้าซื้อที่ จุดแนวรับตั้งแต่ 1,725 ดอลลาร์ 1,715 ดอลลาร์ และ1,705 ดอลลาร์
หลังจากที่เศรษฐกิจโลกโดยรรวมได้เผชิญกับผลกระทบจากไวรัส โควิด-19 ทำให้พื้นฐานทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไปเกือบหมด โดยนักลงทุนจะนำเงินเข้ามาพัก และลงทุนในทองคำมากขึ้น โดยดูจากการเข้าซื้อของกองทุน SPDR ที่ยังคงซื้อทองคำเข้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าราคาจะลงหรือเพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องนำทองเข้าไปบริหารพอร์ทของนักลงทุน จึงทำให้เห็นได้ว่าทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงมากทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ออสสิริส (Ausiris)
ส่วนประเด็นที่จะเข้ามาเกี่ยวเนื่องกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงนี้ นอกเหนือ จากเรื่องของผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด -19 ต่อสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก รวมถึงปัญหาข้อพิพาทเรื่องการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งประเด็นที่น่าจับตามมองก็คือปัญหาในประเทศฮ่องกง แม้ว่าช่วงนี้อาจจะดูเงียบลงไป เพราะอเมริกากำลังไปแก้ปัญหาความวุ่นวายภายในประเทศ จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำการเกินกว่าเหตุจนทำให้ “จอร์จ ฟลอยด์“ ชาวอเมริกันผิวสีเสียชีวิต ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอีกระยะ กว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย และเชื่อว่าหลังจากนั้น ปัญหาในฮ่องกงก็จะถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นอีกครั้ง
ขอขอบคุณ คุณบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ออสสิริส (Ausiris)