ทองขึ้นแรงจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและรัสเซีย
คืนนี้ติดตามดัชนีกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย
ราคาทองคำ Spot คาดระยะสั้นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อ
- ราคาทองคำ Spot เมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นแรงในระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนมาจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงปัจจัยความกังวลจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและรัสเซีย ในประเด็นเรื่องชายแดนยูเครน หลังจากที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐไม่คาดว่าการเจรจาระหว่างสหรัฐและรัสเซียจะทำให้ความสัมพันธ์มีความคืบหน้า เนื่องจากรัสเซียส่งทหาร 100,000 นายประชิดชายแดนยูเครน และสามารถเพิ่มกำลังพลได้ทุกเมื่อ ส่งผลทำให้มีแรงซื้อทองคำเข้ามาจากปัจจัยดังกล่าว ทางด้านกองทุน SPDR Gold Trust ซื้อทองคำสุทธิ 5.23 ตันจากเมื่อวาน
- คืนนี้สหรัฐจะเปิดเผยดัชนีกิจกรรมการผลิตของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนม.ค. ตลาดคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 18.9 จากระดับ 15.4 ในเดือนธ.ค. จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตลาดคาดว่าจะลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 227,000 ราย และยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค. ตลาดคาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 6.42 จากระดับ 6.46 ล้านยูนิต
- ราคาทองคำ Spot คาดระยะสั้นมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อ อย่างไรก็ตามหากไม่มีปัจจัยความตึงเครียดระหว่างประเทศเพิ่มเติมอาจเกิดแรงเทขายทำกำไรออกมา ทั้งนี้มีแนวรับที่ 1,820 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไป 1,810 ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน 1,850 ดอลลาร์ และ 1,860 ดอลลาร์
ราคาทองตลาดโลก
Close | chg. | Support | Resistance |
1,839.20 | +26.34 | 1,820/1,810 | 1,850/1,860 |
ราคาทองแท่ง 96.5%
Close | chg. | Support | Resistance |
28,450 | – | 28,400/28,300 | 28,850/28,950 |
โกลด์ฟิวเจอร์ส
Close | chg | Support | Resistance |
28,770 | +240 | 28,600/28,480 | 28,960/29,090 |
แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาทอง Spot ปรับลงมาที่ 1,810 ดอลลาร์ (GF 28,480 บาท) โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,800 ดอลลาร์ (GF 28,300 บาท)
โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์
Close | chg | Support | Resistance |
1,844.90 | +25.70 | 1,822/1,812 | 1,852/1,862 |
แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคา GOH22 ปรับลงมาที่ 1,812 ดอลลาร์ โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,802 ดอลลาร์
ค่าเงิน
ทิศทางค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า หลังจากที่สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าจากที่คาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. ในขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาทระยะสั้นคาดแข็งค่าได้ต่อ สำหรับ USD Futures เดือนมี.ค.65 มีแนวรับที่ 32.70 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่ 33.30 บาท/ดอลลาร์
News
WHO เตือนโอมิครอนไม่ใช่สายพันธุ์สุดท้าย ขณะติดเชื้อทั่วโลกพุ่งไม่หยุด
องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนว่า เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะไม่ใช่สายพันธุ์สุดท้ายในการแพร่ระบาดครั้งนี้ แม้ว่าการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนในบางประเทศจะเริ่มลดลงแล้วก็ตาม พร้อมเตือนว่าจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกที่ระดับสูงมีแนวโน้มจะนำไปสู่การกลายพันธุ์เป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ แพทย์หญิงมาเรีย แวน เคอร์คอฟ หัวหน้าด้านเทคนิคของ WHO กล่าวว่า “เรากำลังได้ยินผู้คนจำนวนพูดว่า โอมิครอนจะเป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์สุดท้ายและทุกอย่างจะจบลงหลังจากนี้ และนั่นไม่จริง เพราะไวรัสนี้กำลังแพร่ระบาดอย่างรุนแรงทั่วโลก” สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้น 20% ทั่วโลกเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรวมเกือบ 19 ล้านราย แต่แพทย์หญิงแวน เคอร์คอฟระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ที่ไม่ได้รายงานอาจทำให้จำนวนตัวเลขจริงสูงกว่านี้มาก ดร.บรูซ ไอล์วาร์ด เจ้าหน้าที่อาวุโสของ WHO เตือนว่า การแพร่ระบาดที่ระดับสูงทำให้ไวรัสมีโอกาสมากขึ้นที่จะแบ่งตัวและกลายพันธุ์ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “เรายังไม่เข้าใจอย่างแท้จริงถึงผลที่ตามมาของการปล่อยให้สิ่งนี้ดำเนินต่อไป” ดร.ไอล์วาร์ดกล่าว “จนถึงตอนนี้ สิ่งที่เราเห็นส่วนใหญ่ในพื้นที่ซึ่งควบคุมการแพร่ระบาดไม่ได้นั้นคือการเผชิญกับไวรัสสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นใหม่ และความไม่แน่นอนครั้งใหม่ที่เราต้องรับมือเมื่อเราก้าวไปข้างหน้า” แพทย์หญิงแวน เคอร์คอฟกล่าวว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะผ่อนคลายมาตรการด้านสาธารณสุข เช่น การสวมหน้ากากอนามัยและการเว้นระยะห่างทางสังคม พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลยกระดับมาตรการดังกล่าวเพื่อควบคุมโควิด-19 ให้ดีขึ้น และป้องกันการแพร่ระบาดในอนาคตเมื่อมีสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น
วิจัยชี้โควิดทำให้เด็กกินยาก-เลือกกินมากขึ้นเนื่องจากการรับรู้กลิ่นผิดเพี้ยน
ศาสตราจารย์คาร์ล ฟิลพ็อตต์ คณะแพทยศาสตร์นอร์ริช มหาวิทยาลัยอีสต์แองเกลีย ประเทศอังกฤษเผยผลการศึกษาว่า เด็กที่หายจากการติดเชื้อโควิด-19 อาจมีประสาทการรับรู้กลิ่นที่ผิดเพี้ยน ซึ่งจะทำให้อาหารที่เด็กเลือกกินนั้นเปลี่ยนไปด้วย ภาวะการรับรู้กลิ่นผิดเพี้ยนหรือ Parosmia อาจทำให้ผู้ป่วยรับรู้กลิ่นที่แปลกไปจากปกติ เช่น ได้กลิ่นเลมอนเป็นกะหล่ำปลีเน่า หรือกลิ่นช็อกโกแลตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นภาวะที่พบได้มากในผู้ที่หายจากการติดเชื้อโควิด-19 แล้ว โดยคาดว่า เกิดจากการที่ร่างกายมีเซลล์รับรู้กลิ่นลดลง จึงทำให้รับรู้สารประกอบของกลิ่นได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ปัจจุบันมีชาวอังกฤษวัยผู้ใหญ่ราว 250,000 คนที่ประสบกับภาวะ Parosmia จากการติดเชื้อโควิด-19 อีกทั้งภาวะนี้ยังอาจเป็นสาเหตุที่เด็กไม่ยอมรับประทานอาหารที่เคยชอบหลังจากหายป่วยแล้ว สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ศาสตราจารย์ฟิลพ็อตต์ได้ร่วมมือกับองค์กรการกุศล Fifth Sense ออกคู่มือแนะนำสำหรับพ่อแม่และบุคลากรการแพทย์ เพื่อให้สามารถแยกแยะระหว่างเด็กที่มีภาวะ Parosmia และเด็กที่เลือกกินโดยทั่วไป นายดันแคน โบ๊ก ประธาน Fifth Sense กล่าวว่า “เราได้รับรายงานจากพ่อแม่ที่มีลูกซึ่งประสบปัญหาด้านโภชนาการและมีน้ำหนักตัวลดลง ซึ่งก่อนหน้านี้แพทย์มักวินิจฉัยว่าเกิดจากการที่เด็กเลือกกินเอง เราต้องการเผยแพร่ข้อมูลนี้ให้บุคลากรทางการแพทย์รับรู้และตระหนักว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง”
สหรัฐเตือนชาวมะกันเลี่ยงเดินทางไป 22 ประเทศ เหตุโควิดระบาดหนัก
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐได้ออกคำแนะนำให้พลเมืองชาวอเมริกันหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยัง 22 ประเทศและเขตแดน เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยประเทศและดินแดนดังกล่าวได้แก่อิสราเอล, ออสเตรเลีย, อียิปต์, แอลเบเนีย, อาร์เจนตินา, อุรุกวัย, ปานามา, กาตาร์, บาฮามาส, บาห์เรน, เบอร์มิวดา, หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน, หมู่เกาะเติกส์และเคคอส, ซูรินาม, เซนต์ลูเซีย, โบลิเวีย, แคนาดา, ฝรั่งเศส, ซาอุดีอาระเบีย, แอฟริกาใต้, ตุรกี และสหราชอาณาจักร
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.