Gold Around
ราคาทองคำ ข่าวสารและแนวโน้มราคาทองคำวันนี้

เกาะติด “ความขัดแย้งชาติมหาอำนาจ-โควิด 19-คริปโตฯ”ตัวแปรสำคัญตลาดทองคำ

- Advertisement -

344

- Advertisement -

หลังจากที่ได้เห็นถึงปัจจัยบวกและปัจจัยลบไปแล้ว วันนี้จะมาดูปัจจัยอื่นๆที่น่าติดตาม เริ่มจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความเสี่ยงเกี่ยวกับการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน และการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ

ความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐทวีความรุนแรงขึ้นในหลายประเด็น อาทิ ไต้หวัน ทะเลจีนใต้ การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่สหรัฐนำมาเป็นข้ออ้างแบนการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่งปี 2522

ไม่เพียงแค่นั้นยังมีความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับชาติตะวันตกในประเด็นยูเครน หลังรัสเซียได้เสริมกำลังพลบริเวณชายแดนรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เกิดความวิตกว่ารัสเซียอาจจะส่งทหารบุกยูเครน ซึ่งท้ายที่สุดก็จะนำไปสู่การตอบโต้จากชาติสมาชิกนาโต

อีกหนึ่งความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ คือ การระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน ที่แพร่ระบาด ในอัตราที่ค่อนข้างรวดเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า รวมถึงสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่เกิดจากวัคซีนหรือภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำมากกว่าสายพันธุ์เดลตาถึง 5 เท่า ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะเป็นภัยคุกคามการเติบโตทางเศรษฐกิจและกระทบต่อแผนการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางทั่วโลกอีกด้วย

- Advertisement -

นอกนั้นวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2022 ยังจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ หรือ Midterm election คือ การเลือกตั้งในช่วงครึ่งวาระของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2022 โดยจะมีการเปลี่ยนสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐทั้ง 435 คน และรวมไปถึง 34 ที่นั่งจาก 100 ที่นั่งในวุฒิสภา ผู้ว่าการรัฐจากอีก 39 รัฐ และการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นในหลายรัฐอีกด้วย และผลการเลือกตั้งอาจเปลี่ยนเสียงข้างมากในสภาซึ่งจะกระทบต่อการออกนโยบายของรัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีไบเดนอีกด้วย

สุดท้ายประเด็นที่จะต้องให้ความสนใจใกล้ชิดคือ ความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดิจิทัล หรือ บิตคอยน์ หลังจากราคาบิตคอยน์ทะยานเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าในปี 2020 แล้วนั้น บิตคอยน์ก็เพิ่งทะยานขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่ 69,000 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมาก่อนที่จะทรุดตัวกว่า 30% จากระดับดังกล่าวท่ามกลางแรงเทขายทำกำไร และปัจจุบัน(วันที่ 21 ธ.ค.) ซื้อขายอยู่ที่ 47,433 ดอลลาร์

อย่างไรก็ดีในปี 2021 บิตคอยน์ยังทะยานขึ้นกว่า 63% จากราคาเปิดปีที่ 28,999 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นผลตอบแทนที่หวือหวาเกินกว่าจะมองข้าม และทำให้นักลงทุนบางส่วนมองว่าบิตคอยน์ คือ Digital Gold ที่จะมาทดแทนทองคำ

อย่างไรก็ดี YLG ยังมองเช่นเดิมว่า บิทคอยน์อาจยังไม่สามารถมาแทนที่ทองคำได้เต็ม 100% เนื่องจากทองคำยังมีข้อได้เปรียบอยู่หลายประการ อาทิทองคำเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้(Tangible Asset) และความผันผวนของทองคำ อยู่ในระดับต่ำกว่า บิทคอยน์ ค่อนข้างมาก”

ทองคำถูกใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน และถูกใช้เป็นแหล่งสะสมมูลค่า(store of value) มากกว่า 2,000 ปี โดยถูกถือครองจากทั้งนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายย่อย เช่นเดียวกับธนาคารกลาง ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นต่อทองคำในสายตาของธนาคารกลางทั่วโลกได้เป็นอย่างดี

- Advertisement -

ทองคำถูกใช้ในหลายด้าน อาทิ ใช้ในการผลิตเครื่องประดับ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของตลาดทองคำ โดยความต้องการทองคำส่วนใหญ่เชื่อมโยงกับความเชื่อทางวัฒนธรรมและศาสนาอย่างลึกซึ้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเดียและจีน และทองคำยังถูกใช้อย่างแพร่หลายในภาคเทคโนโลยี ทำให้ได้รับประโยชน์เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว

ที่สำคัญทองคำมีตลาดขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูง โดย Market Cap ของทองคำทั่วโลกในปัจจุบันคิดเป็นประมาณ 11.45 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ Market Cap ของบิทคอยน์นั้นอยู่ที่เกือบ 1.45 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งถือได้ว่า Market Cap ของบิทคอยน์ยังคงต่ำกว่าทองคำอยู่ราว 11 เท่า

ปัจจัยที่กล่าวมา ทำให้ทองคำแตกต่างจากสินทรัพย์ลงทุนอื่นๆ เพราะทองคำมีผลตอบแทนที่เป็นบวกได้ทั้งในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจตกต่ำ อีกทั้งทองคำยังได้รับประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวอีกด้วย ในทางตรงกันข้าม cryptocurrencies เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล (ที่จับต้องไม่ได้) แหล่งที่มาของความต้องการหลักในปัจจุบันของ cryptocurrencies คือ การลงทุน ทำให้ cryptocurrencies มีความผันผวนและมักจะตอบสนองต่อโมเมนตัมของราคาเป็นหลัก ซึ่งมักจะเชื่อมโยงกับการเก็งกำไรมากกว่าสถานะการลงทุนในเชิงกลยุทธ์

แม้จากเหตุผลที่กล่าวมา จะทำให้บิทคอยน์อาจยังไม่สามารถมาแทนที่ทองคำได้ แต่การที่ตลาดบิทคอยน์ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วย่อมจะส่งผลต่อตลาดทองคำ คือ ดึงเม็ดเงินเก็งกำไรออกไปจากตลาดทองคำ ยิ่งถ้าหากบิทคอยน์ได้รับการยอมรับจากนักลงทุนสถาบันมากขึ้น ก็อาจส่งผลให้เกิดการโยกเงินหลายพันล้านดอลลาร์ออกจากตลาดทองคำ

ทั้งนี้จึงแนะนำให้นักลงทุนจัดการความเสี่ยงจาก “บิตคอยน์” ด้วยการลงทุน “ทอง” ควบคู่กันเพราะกระแสของสกุลเงินดิจิทัลที่เรายากจะปฏิเสธ รวมถึงผลตอบแทนของบิตคอยน์นั้นก็สูงเกินกว่าจะมองข้ามได้เช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนที่ลงทุนในบิตคอยน์จึงจำเป็นต้องหาเครื่องมือที่เหมาะ สมเพื่อจัดการกับข้อจำกัดดังกล่าว ซึ่งพบว่าทองคำคือหนึ่งในเครื่องมือดังกล่าว

อ้างอิงจากการวิเคราะห์ของ World Gold Council แสดงให้เห็นว่า พอร์ตการลงทุนที่มีการจัดสรรเงินทุนไปสู่บิตคอยน์ในสัดส่วน 1 ถึง 5% ไปพร้อมๆกับการจัดสรรเงินทุนไปสู่ทองในสัดส่วน 10% นั้นได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งกว่า เพราะช่วย “เพิ่ม” ผลตอบแทนที่ปรับด้วยความเสี่ยง (risk-adjusted returns) ได้ราว 0.1%

นอกจากนั้นยังทำให้ maximum drawdown ซึ่งเป็นการวัดระดับผลตอบแทนขาดทุนสูงสุดในอดีตเมื่อเทียบจากจุดที่เคยได้รับผลตอบแทนสูงที่สุด (Historical Peak) ลดลงเกือบ 2% เมื่อเทียบกับพอร์ตที่ไม่มีทองคำอีกด้วย โดยรวมแล้วสิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าทองคำอาจได้รับประโยชน์ในที่สุด หากนักลงทุนสถาบันหันมาเพิ่มบิตคอยน์ในพอร์ตลงทุน เพราะอาจทำให้เกิดการจัดสรรทองคำในพอร์ตลงทุนมากขึ้นเพื่อจัดการความผันผวนที่ตามมา

ขอขอบคุณ : YLG

- Advertisement -

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More