- Advertisement -

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ได้มีการประชุมนัดสุดท้ายของปี 2020 เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่ามติจากที่ประชุมจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนักในเชิงนโยบายหลัก แต่ลายละเอียดลึกๆ สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของเฟด ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ ไวรัส COVID-19

ประเด็นหลักจากการประชุม ก็คือเรื่องของอัตราดอกเบี้ย และคงวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ซึ่งมีมติมติคงอัตราดอกเบี้ย และคงวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตร วงเงินรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือนตามเดิม ซึ่งสะท้อนว่าเฟดยินยอมให้อัตราผลตอบแทนระยะยาวของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นได้

นอกจากนี้ Economic Projections ยังสะท้อนอีกว่าเฟดมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้นโดยเฟดคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะหดตัวลงเพียง 2.4% ในปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะหดตัว 3.7% ก่อนที่จะมีการขยายตัว 4.2% ในปี 2021 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 4%

นอกจากนั้นเฟดยังได้ปรับเพิ่มการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อ โดยคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1.4% และอยู่ที่ระดับ 1.8%, 1.9% ในปี 2021 และ 2022 ตามลำดับ ขณะเดียวกันเฟดได้ปรับลดคาดการณ์อัตราว่างงาน โดยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 6.7% ในปีนี้ และจะแตะระดับ 5% ,4.2% และ 3.7% ในปี 2021, 2022 และ 2023 ตามลำดับ

- Advertisement -

ด้าน Dot Plot ของเฟดสะท้อนว่า “อัตราดอกเบี้ยของเฟดจะอยู่ใกล้ศูนย์ไปจนถึงปี 2023” แต่ Dot plot ครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่เฟด 5 คนจาก 17 คนคาดการณ์ถึงการ“ขึ้น” อัตราดอกเบี้ยในปี 2023 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวน 4 คนใน Dot plot ในเดือนก.ย.

ทั้งนี้ YLG ประเมินว่า แม้มุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ และสัญญาณที่เฟดยินยอมให้อัตราผลตอบแทนระยะยาวของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นได้ จะหนุนให้สกุลเงินดอลลาร์ฟื้นตัวหลังการประชุม จนกดดันให้ราคาทองคำร่วงลงแตะระดับต่ำสุดบริเวณ 1,844 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างไรก็ดี ราคาทองคำทะยานขึ้นในทันทีที่นายพาวเวลล์ ประธานเฟด ระบุชัดว่าเฟดก็พร้อมที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น ตามที่เฟดมองว่าจำเป็น

ขอบคุณข้อมูลจาก บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนฟิวเจอร์ส จำกัด หรือ YLG

- Advertisement -