มาดู 5 ประเด็นสำคัญ ที่จะต้องติดตามในสัปดาห์นี้ เริ่มจากรายงานการจ้างงานของสหรัฐฯ เดือน มี.ค. ที่จะประกาศในวันศุกร์นี้
ซึ่งถือเป็นอีกตัวเลขสำคัญที่จะช่วยให้ตลาดคาดการณ์ แผนของธนาคารกลางเฟด
ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปว่าจะยังคงที่ 25 bp หรือจะขยับขึ้นไป 50 bp เลย เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น
ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 475,000 ตำแหน่ง หลังจากเดือน ก.พ. อยู่ที่ระดับ 678,000 ตำแหน่ง ขณะที่ รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี และอัตราการว่างงานคาดว่าจะลดลงเหลือ 3.7%
ขณะที่ ในวันพฤหัสบดี ยังมีการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ
โดย สหรัฐฯ เตรียมเปิดเผยตัวเลขรายได้ส่วนบุคคลประจำเดือนก.พ. ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดจับตาอย่างใกล้ชิด โดยตลาดคาดว่าดัชนีราคา PCE หลักจะเพิ่มขึ้น 5.5% ต่อปี ซึ่งอยู่เหนือเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟดที่ 2%
รวมถึง ยังมีข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การจ้างงานของภาคเอกชน การขอรับสวัสดิการว่างงาน และ PMI การผลิต ISM
ประเด็นต่อมา คือ ราคาน้ำมัน
หลังจากที่ได้ปรับตัวขึ้นในรายสัปดาห์เป็นครั้งแรกในรอบสามสัปดาห์ที่แล้ว โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ เพิ่มขึ้นมากกว่า 11.5% และ WTI เพิ่มขึ้น 8.8%
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันได้พุ่งสูงขึ้น 50% ตั้งแต่ต้นปี ท่ามกลางการคว่ำบาตรรัสเซีย เพื่อเป็นการตอบโต้ที่บุกยูเครน ซึ่งราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น เป็นแรงผลักดันให้เกิดการคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นตาม หลังจากที่ตัวเลขเงินเฟ้อได้พุ่งสูงมาอย่างต่อเนื่อง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19
ขณะที่ ตัวเลขดัชนีของตลาดหลักทรัพย์หลัก 3 แห่ง ของ Wall Street ได้ปิดตัวเพิ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยดัชนี Nasdaq และ S&P 500 เพิ่มขึ้น 2% และ 1.8% ตามลำดับ ในขณะที่ Dow ปรับตัวขึ้น 0.3%
นอกจากนั้น อัตราผลตอบแทนของกระทรวงการคลังสหรัฐอายุ 10 ปี ได้พุ่งขึ้นแรงในวันศุกร์
โดยไปแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 2.5 % สูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี เนื่องจากตลาดเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูงและตลาดมองว่าหากธนาคารกลางสหรัฐฯ ใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเพิ่มขึ้น อาจจุดชนวนให้เศรษฐกิจตกต่ำได้
นอกจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามแล้ว ตัวเลขเงินเฟ้อของทางฝั่งยูโรโซนก็น่าติดตาม
โดยจะมีการประกาศในวันศุกร์นี้เช่นกัน และตลาดคาดว่า CPI จะแตะระดับ 6.5 % สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางประธาน ECB จะระบุชัดว่า ไม่มีความเร่งรีบที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่จากการตั้งเป้าอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 2% จึงทำให้เจ้าหน้าที่บางคนเรียกร้องให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหนึ่งหรือสองครั้งในปีนี้
หมายเหตุ : เนื้อหาข้างต้นมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่การชักชวนให้ ซื้อ-ขาย หรือ ลงทุน หรือ เป็นเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ และอาจจะไม่สะท้อนถึงความเห็นของ GoldAround.com ทั้งนี้ ทีมงานไม่ยอมรับความผิดในความสูญเสีย และ หรือ ความเสียหาย ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลข้างต้น
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.