โดย : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
คำแนะนำ :
ราคาทองคำค่อยฟื้นตัวขึ้น หลังจากทิ้งตัวลง มีลุ้นที่ราคาจะขยับขึ้นไปทดสอบแนวต้านโซนที่ 1,573-1,576 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคายืนไม่ได้อาจเกิดแรงขายทำกำไรระยะสั้นออกมา เมื่อราคาทองคำอ่อนตัวลงจะมีแนวรับบริเวณ 1,552-1,547 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ : 1,547 1,535 1,524 แนวต้าน : 1,576 1,589 1,602
ปัจจัยพื้นฐาน :
ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.72 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นวันที่ 2 ติดต่อกันแล้วที่มีแรงซื้อเข้าสู่ตลาดทองคำ ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะทะยานขึ้นเป็นวันทำการที่ 4 ติดต่อกันขานรับข่าวที่ว่า จีนจะปรับลดภาษีต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐวงเงิน 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนสกุลเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นเช่นกันหลังจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลงเกินคาดสู่ระดับ 202,000 ราย ขณะที่สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลง เนื่องจากคำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีดิ่งลงอย่างไม่คาดคิดในเดือนธ.ค. ซึ่งการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยง+การแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์+การอ่อนค่าของสกุลเงินยูโร ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยกดดันทองคำทั้งสิ้น อย่างไรก็ดี นักลงทุนเมินปัจจัยลบดังกล่าวและเข้าซื้อทองคำ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จึงกระตุ้นการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางทั่วโลกรวมไปถึงเฟดจะเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ และช่วยลดต้นทุนการถือครองทองคำที่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่ม +2.33 ตัน สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยอัตราการว่างงาน, รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงแรงงาน และการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐ
ปัจจัยทางเทคนิค :
ราคาสามารถสร้างฐานเหนือแนวรับ 1,547 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ มีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1,573-1,576 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาไม่สามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวได้ราคาจะกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบและ มีโอกาสปรับตัวลงไปหาแนวรับถัดไปที่ 1,552-1,547 ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน :
เน้นเก็งกำไรตามกรอบ แบ่งทองคำออกขายทำกำไรหากราคาทองคำไม่ผ่านแนวต้านที่ 1,573-1,576 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนสถานะขายตัดขาดทุนผ่าน 1,576 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เพื่อรอเข้าซื้อเก็งกำไรจากการดีดตัวขึ้นหากการอ่อนตัวลงสามารถยืนเหนือโซน 1,552-1,547 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ข่าวสารประกอบการลงทุน :
- (-) ดอลลาร์ดีดตัวสู่ระดับสูงสุดรอบ 4 เดือนขณะเยน,ฟรังก์สวิสร่วงเป็นวันที่ 4 ดอลลาร์ปรับขึ้นสู่ระดับสูงสุดรอบ 4 เดือน เมื่อเทียบกับยูโร และจุดสูงสุดรอบ 2 สัปดาห์เมื่อเทียบกับเยนในวันพฤหัสบดี โดยได้แรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐเมื่อไม่นานมานี้ รวมทั้งความวิตกที่ลดลงเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาที่ปรากฏขึ้นในจีนเมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน เยนและฟรังก์สวิสปรับตัวอย่างยากลำบากเป็นวันที่ 4 ติดต่อกัน เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ในขณะที่นักลงทุนต้องการสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น โดยได้แรงหนุนจากความพยายามของรัฐบาลจีนในการควบคุมไวรัสโคโรนาและจำกัดผลกระทบทางเศรษฐกิจ ฟรังก์สวิสร่วงสู่ระดับอ่อนแอที่สุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ ในขณะเดียวกัน ยูโรร่วงลงเช่นกัน โดยปรับลงสู่ระดับต่ำสุดรอบ 4 เดือน เมื่อเทียบกับดอลลาร์หลังการเปิดเผยข้อมูลที่อ่อนแอของเยอรมนี ซึ่งตรงกันข้ามอย่างมากกับรายงานเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งในสัปดาห์นี้ สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานเมื่อวานนี้ว่า ปธน.สี จิ้นผิงของจีนกล่าวต่อกษัตริย์ซัลมานของซาอุดิอาระเบียว่า จีนมีผล “ที่ดี” ในความพยายามป้องกันและควบคุมไวรัสโคโรนา ซึ่งนั่นเพิ่มทัศนะบวก ด้านธนาคารกลางจีน ได้อัดฉีดเงินหลายแสนล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบการเงินในสัปดาห์นี้เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจในเชิงลบที่เป็นไปได้จากไวรัส ดอลลาร์ปรับขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับเยน สู่ 109.99 เยน และปรับขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับฟรังก์ สู่ 0.9756 ยูโรร่วงลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ถูกถ่วงโดยข้อมูลที่แสดงว่า คำสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีดิ่งลงอย่างไม่คาดคิดในเดือนธ.ค. คำสั่งซื้อสินค้าเยอรมันลดลง 2.1% ในเดือนธ.ค.จากเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการร่วงลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. ล่าสุดยูโรปรับลง 0.2% มาที่ 1.0978 ดอลลาร์ การร่วงลงของยูโรดันดัชนีดอลลาร์ขึ้น 0.2% มาที่ 98.524 ซึ่งได้ประโยชน์เช่นกันจากข้อมูลยอดผู้ข้อสวัสดิการว่างงานและประสิทธิภาพการผลิตที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ก่อนหน้านี้ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นสู่ 98.572 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนต.ค.
- (-) หุ้นสหรัฐทำนิวไฮหลังจีนเคลื่อนไหวจำกัดผลกระทบของไวรัสโคโรนา หุ้นสหรัฐปรับขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ในวันพฤหัสบดีและดัชนีหลักของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์หลังการคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัสโคโรนาในจีน จีนระบุว่าจะลดภาษีครึ่งหนึ่งต่อภาษีเพิ่มเติมต่อสินค้าบางส่วนของสหรัฐ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นการเคลื่อนไหวกระตุ้นความเชื่อมั่นหลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโคโรนาขัดขวางธุรกิจและจุดชนวนความผันผวนในตลาดในวงกว้าง อีกปัจจัยเสริมทัศนะบวกสำหรับหุ้นคือข้อมูลที่แสดงว่าตัวเลขชาวอเมริกันลงทะเบียนขอรับสวัสดิการคนว่างงานปรับลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือนในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ นักลงทุนจับตารายงานจ้างงานรายเดือนของสหรัฐในวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก 88.92 จุด หรือ 0.3% สู่ 29,379.77 ในวันพฤหัสบดี ดัชนี S&P 500 ปิดบวก 11.09 จุด หรือ 0.33% สู่ 3,345.78 และดัชนี Nasdaq Composite ปิดบวก 63.47 จุด หรือ 0.67% สู่ 9,572.15
- (-) สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำสุดรอบ 9 เดือน กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 15,000 ราย สู่ระดับ 202,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 215,000 ราย
- (-) ขุนคลังสหรัฐคาดจีนไม่บิดพลิ้วสัญญาในข้อตกลง แม้เผชิญพิษไวรัสโคโรนา นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐไม่คิดว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ จะทำให้จีนไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงการค้าเฟสแรกที่มีการทำไว้กับสหรัฐในปีที่แล้ว ทั้งนี้ ข้อตกลงการค้าเฟดแรกระบุว่า จีนจะต้องซื้อสินค้าสหรัฐวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2563-2564 โดยจะต้องซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ “จากการประมาณการของเรา เราไม่มีความวิตกในเรื่องนี้ แต่เราก็กำลังจับตาสถานการณ์อย่างระมัดระวัง โดยเราอาจจะมีความคิดที่ดีกว่าในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า” นายมนูชินกล่าว