Gold Around
ราคาทองคำ ข่าวสารและแนวโน้มราคาทองคำวันนี้

วิเคราะห์ราคาทองคำ 22 ก.ค.64(YLG)

- Advertisement -

330

- Advertisement -

คำแนะนำ :

เน้นทำกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว ราคาทองคำยังมีกำลังซื้อที่ไม่มากนัก แนะนำติดตามการเคลื่อนไหวของราคาโซน 1,794-1,791ดอลลาร์ต่อออนซ์  หากสามารถยืนได้อย่างแข็งแกร่ง แนะนำพิจารณาเข้าซื้อเพื่อทำกำไรระยะสั้น

แนวรับ : 1,791 1,788 1,776  แนวต้าน : 1,818 1,833 1,845

สรุป

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง  6.20 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ราคาทองคำอ่อนตัวลงจากระดับสูงสุดในระหว่างวันบริเวณ 1,813.64  ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยได้รับแรงกดดันจากการที่นักลงทุนกลับมาเปิดรับความเสี่ยง (Risk on) อีกครั้ง  หลังจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และโคคา-โคล่า  ทำให้นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 จนผลักดันดัชนีดาวโจนส์ให้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 286.01 จุด  พร้อมกับกระตุ้นแรงขายสินทรัพย์ปลอดภัยในวงกว้าง  ทั้งพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ,  ดอลลาร์สหรัฐ  และทองคำ  ทั้งนี้  แรงขายพันธบัตรช่วยหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีให้ดีดตัวขึ้นแตะระดับ 1.30% อีกทั้งดีมานด์ในการประมูลพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 20 ปีมูลค่า 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์เมื่อคืนนี้เป็นไปอย่างอ่อนแอจึงหนุนบอนด์ยีลด์เพิ่ม  สถานการณ์ดังกล่าว  กดดันราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ย  นั่นทำให้ราคาทองคำร่วงลงทดสอบระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์บริเวณ  1,794.85  ดอลลาร์ต่อออนซ์  ก่อนที่จะมีแรงซื้อ Buy the dip สลับเข้ามา  นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากดัชนีดอลลาร์ที่ร่วงลงจากระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 เดือนจากแรงขายสกุลเงินปลอดภัยอีกด้วย  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำไม่เปลี่ยนแปลง  สำหรับวันนี้ติดตามการผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB)คาดคงอัตราดอกเบี้ยและวงเงินการเข้าซื้อสินทรัพย์ตามเดิม  แต่แนะนำติดตามสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคตจากถ้อยแถลงของประธาน ECB รวมถึงติดตามการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน, ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจจาก CB และยอดขายบ้านมือสอง

- Advertisement -

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสินเชื่อจำนองลดลงสัปดาห์ที่แล้ว เหตุดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น  สมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองลดลงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่พุ่งขึ้น และสต็อกบ้านที่ตึงตัว รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ปรับตัวขึ้น  ทั้งนี้ จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองลดลง 4% ในสัปดาห์ที่แล้ว  จำนวนผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการรีไฟแนนซ์ลดลง 2.8% ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยดิ่งลง 6.4% แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีที่แล้ว
  • (+) วัคซีน ‘ซิโนฟาร์ม’ กระตุ้นแอนติบอดีต่อสายพันธุ์เดลต้าได้ต่ำกว่า  ผลการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีน BBIBP-CorV ของบริษัทซิโนฟาร์ม ต่อเชื้อโคโรนาไวรัสที่กลายพันธุ์ ระบุว่า วัคซีนสูตรนี้กระตุ้นให้เกิดแอนติบอดีต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้าได้ต่ำกว่าไวรัสสายพันธุ์เดิม ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์  ผู้ที่ได้รับวัคซีนสูตรดังกล่าวมีระดับแอนติบอดีต่อไวรัสสายพันธุ์เดลตาลดลง 1.38 เท่า เมื่อเทียบกับแอนติบอดีต่อไวรัสสายพันธุ์เดิมที่พบเป็นครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน จากผลการศึกษาในห้องปฏิบัติการต่อตัวอย่างเชื้อที่เก็บจากชาวศรีลังกา  ผลการศึกษาดังกล่าวจัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยศรีชยวรรธนปุระ สภาเทศบาลกรุงโคลัมโบของศรีลังกา และมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ ผลการศึกษานี้เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ และยังไม่ได้รับการทบทวนโดยผู้เชี่ยวชาญที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยดังกล่าว   
  • (+) ผลวิจัยชี้วัคซีน ‘จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน’ ป้องกันติดโควิดกลายพันธุ์ได้น้อยลง  ผลการศึกษาที่จัดทำโดยนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เปิดเผยว่า วัคซีนโควิดของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (Johnson & Johnson) อาจมีประสิทธิผลลดลงเมื่อใช้กับเชื้อโคโรนาไวรัสกลายพันธุ์ที่กำลังระบาดอยู่ในหลายประเทศ  แนทธาเนียล แลนเดา หัวหน้าคณะนักวิจัยชุดนี้กล่าวว่า วัคซีนโควิดของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่ใช้เพียงเข็มเดียว มิได้มีอัตราการป้องกันเชื้อที่กลายพันธุ์ได้เหมือนวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ของบริษัทไฟเซอร์ (Pfizer) และโมเดอร์นา (Moderna)  ผลการวิจัยซึ่งใช้วิธีศึกษาเลือดของกลุ่มตัวอย่าง ถูกโพสต์ทางอินเทอร์เน็ตเมื่อวันอังคาร แต่ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย และยังไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการ แสดงให้เห็นผลที่คล้ายกับการทดสอบครั้งก่อน ๆ ที่ชี้ว่า วัคซีนแบบเข็มเดียวไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันที่เพียงพอสำหรับเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาและแลมบ์ดา
  • (+) ดอลล์อ่อนค่า นลท.หันซื้อสินทรัพย์เสี่ยงหลังตลาดหุ้นพุ่ง  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มหันไปถือครองสกุลเงินที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยง เช่นยูโรและปอนด์ หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.22% แตะที่ 92.7613 เมื่อคืนนี้  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1799 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1782 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3715 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3626 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7357 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7330 ดอลลาร์  ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 110.27 เยน จากระดับ 109.82 เยน แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9172 ฟรังก์ จากระดับ 0.9211 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2558 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2694 ดอลลาร์แคนาดา
  • (-) ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 286.01 จุด ขานรับผลประกอบการสดใส  ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (21 ก.ค.) ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึงบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และโคคา-โคล่า นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 หลังจากดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวลงรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 9 เดือนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,798.00 จุด เพิ่มขึ้น 286.01 จุด หรือ +0.83% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,358.69 จุด เพิ่มขึ้น 35.63 จุด หรือ +0.82% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,631.95 จุด เพิ่มขึ้น 133.08 จุด หรือ +0.92%
  • (+/-) อายุคาดเฉลี่ยในสหรัฐฯ ปีที่แล้ว ลดต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯหรือ CDC เมื่อวันพุธ ระบุว่า Life expectancy หรือ อายุคาดเฉลี่ย ในสหรัฐฯ ในปีที่แล้ว ลดลง 1.5 ปี ถือเป็นการลดลงของอายุคาดเฉลี่ยที่มากที่สุดภายในหนึ่งปีนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง  นอกจากนี้ อายุคาดเฉลี่ยของชาวอเมริกันผิวดำและเชื้อสายละตินยังลดลงถึงสามปีภายในปีที่ผ่านมา ตามรายงานของสำนักข่าว The Associated Press  การลดลงของอายุคาดเฉลี่ยมีสาเหตุหลักจากการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นสาเหตุถึงเกือบ 74 เปอร์เซ็นต์ของสาเหตุทั้งหมดที่ทำให้อายุคาดเฉลี่ยลดลง เมื่อปีที่ผ่านมา มีชาวอเมริกันเสียชีวิตกว่า 3.3 ล้านคน เป็นจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ โดยเป็นผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ราว 11 เปอร์เซ็นต์

ขอขอบคุณ  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

- Advertisement -

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More