ทองบวกจากความกังวลสายพันธุ์โอมิครอน
สัปดาห์นี้ติดตามจีดีพีไตรมาส 3 (ประมาณการครั้งสุดท้าย)
แนวโน้มราคาทองคำ Spot คาดมีแรงเทขายออกมา
- ราคาทองคำ Spot ปรับตัวขึ้นร้อนแรงในช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาเนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน หลังไฟเซอร์ชี้ว่าการแพร่ระบาดโควิด-19 อาจยืดเยื้อไปจนถึงปี2567 ทั้งนี้ผลวิจัยยังออกมาเตือนว่าไวรัสโอมิครอนอาจทำให้ติดเชื้อซ้ำมากกว่าไวรัสเดลตาถึง 5 เท่า ทางด้านกองทุน SPDRGold Trust ขายทองคำสุทธิ 4.07 ตันจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
- สัปดาห์นี้ติดตามจีดีพีไตรมาส 3 (ประมาณการครั้งสุดท้าย)ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค. โดย Conference Board ยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค.ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐานเดือนพ.ย.และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย.
- แนวโน้มราคาทองคำ Spot คาดมีแรงเทขายออกมา โดยมีแนวต้าน 1,815 ดอลลาร์ และ 1,825ดอลลาร์ขณะที่มีแนวรับที่ 1,785 ดอลลาร์ และ 1,770 ดอลลาร์
ราคาทองตลาดโลก
Close | chg. | Support | Resistance |
1,797.93 | -1.07 | 1,785/1,770 | 1,815/1,825 |
ราคาทองแท่ง 96.5%
Close | chg. | Support | Resistance |
28,450 | -50 | 28,350/28,150 | 28,650/28,750 |
โกลด์ฟิวเจอร์ส
Close | chg | Support | Resistance |
28,550 | -90 | 28,430/28,350 | 28,680/28,820 |
แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาทอง Spot ปรับลงมาที่ 1,785ดอลลาร์ (GF 28,430บาท)โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,770ดอลลาร์ (GF28,350บาท)
โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์
Close | chg | Support | Resistance |
1,802.10 | -5.40 | 1,786/1,771 | 1,816/1,826 |
แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาGOZ21ปรับลงมาที่ 1,786ดอลลาร์ โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,771ดอลลาร์
ค่าเงิน
ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องในหลายวันติดต่อกัน เนื่องจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงิน ทำให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวไปทิศทางเดียวกับตลาดโลกในขณะระยะสั้นทิศทางค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง สำหรับ USD Futures เดือนธ.ค.64คาดจะมีแนวรับที่ 33.20บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่33.60บาท/ดอลลาร์
News
ตลาดการเงินต่างประเทศ:ดอลล์พุ่งขึ้นวิตกโอมิครอนหนุนแรงซื้อ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนได้พากันเข้าซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนทั้งนี้ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินเพิ่มขึ้น 0.55% แตะที่ 96.5741
ตลาดโลหะมีค่าต่างประเทศ:ทองปิดบวก 6.7 ดอลล์รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 ธ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะซื้อสินทรัพย์ที่ปลอดภัยท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดCOMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 6.7 ดอลลาร์หรือ 0.37% ปิดที่ 1,804.9 ดอลลาร์/ออนซ์และปรับตัวขึ้น 1.1% ในรอบสัปดาห์นี้สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 4.8 เซนต์หรือ 0.21% ปิดที่ 22.533 ดอลลาร์/ออนซ์
ตลาดน้ำมันดิบต่างประเทศ:น้ำมันWTI ปิดลบ 1.52 ดอลล์วิตกโอมิครอนกระทบดีมานด์
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 ธ.ค.) โดยถูกกดดันจากความวิตกที่เพิ่มขึ้นว่าจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่พุ่งขึ้นนั้นอาจจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั้งนี้สัญญาน้ำมันดิบWTI ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 1.52 ดอลลาร์หรือ 2.1% ปิดที่ 70.86 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 1.5 ดอลลาร์หรือ 2% ปิดที่ 73.52 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดหุ้นต่างประเทศ: ดาวโจนส์ปิดร่วง 532.20 จุดแรงขายหุ้นเทคโนฯฉุดตลาด
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 500 จุดเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 ธ.ค.) โดยถูกกดดันจากการเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขณะที่นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโอมิครอนรวมถึงการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วขึ้นดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,365.44 จุดลดลง 532.20 จุดหรือ -1.48%, ดัชนีS&P500 ปิดที่ 4,620.64 จุดลดลง 48.03 จุดหรือ -1.03% และดัชนีNasdaqปิดที่ 15,169.68 จุดลดลง 10.75 จุดหรือ -0.07% ในรอบสัปดาห์นี้ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 1.7%, ดัชนีS&P500 ลดลง 1.9% และดัชนีNasdaqลดลง 2.9%
วิจัยชี้ “โอมิครอน” เพิ่มโอกาสติดเชื้อซ้ำมากกว่า “เดลตา” 5เท่า
ผลการวิจัยของอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอน (ICL) บ่งชี้ว่าความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำของไวรัสโควิด-19สายพันธุ์โอมิครอนนั้นมากกว่าสายพันธุ์เดลตาถึง5เท่าและยังไม่มีสัญญาณว่าการติดเชื้อไวรัสโอมิครอนนั้นมีความรุนแรงน้อยกว่าการติดเชื้อเดลตาขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นทั่วยุโรปและจะส่งผลกระทบต่อเทศกาลต่างๆในช่วงสิ้นปีสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าผลการวิจัยดังกล่าวอิงกับข้อมูลของสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักรและสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติเกี่ยวกับประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19ในการทดสอบPCR ในอังกฤษระหว่างวันที่29พ.ย.-11ธ.ค. “เรายังไม่พบหลักฐานว่าทั้งความเสี่ยงของการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและอาการของผู้ติดเชื้อโอมิครอนมีความรุนแรงที่แตกต่างไปจากผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา” ผลวิจัยระบุแม้เสริมว่าข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาในโรงพยาบาลยังคงมีอยู่อย่างจำกัดก็ตามผลวิจัยฉบับวันที่16ธ.ค.ดังกล่าวบ่งชี้ว่าผู้ติดเชื้อโอมิครอนมีความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำเพิ่มขึ้น5.4เท่าเมื่อเทียบกับผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาโดยการวิจัยดังกล่าวนั้นทำการควบคุมด้านสถานะการฉีดวัคซีน, อายุ, เพศ, เชื้อชาติ, สถานะที่ไม่มีอาการ, ภูมิภาคและวันที่เก็บตัวอย่าง ICL ระบุในแถลงการณ์ว่าภูมิคุ้มกันที่เกิดจากการติดเชื้อครั้งที่ผ่านมาอาจจะต่ำถึง19%ในการป้องกันการติดเชื้อโอมิครอนซ้ำนักวิจัยยังพบว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมากที่ผู้ติดเชื้อโอมิครอนจะแสดงอาการเมื่อเทียบกับผู้ติดเชื้อเดลตาสำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนเข็มสองแล้วเป็นเวลามากกว่า2สัปดาห์ขึ้นไปและสำหรับผู้ที่ฉีดบูสเตอร์แล้วเป็นเวลา2สัปดาห์ขึ้นไปซึ่งเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าหรือของไฟเซอร์ศาสตราจารย์นีลเฟอร์กูสันระบุในแถลงการณ์ของICL ว่า “การวิจัยนี้บ่งชี้หลักฐานเพิ่มเติมว่าไวรัสโอมิครอนสามารถหลบภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นทั้งจากการที่เคยติดเชื้อหรือจากการฉีดวัคซีน” ทั้งนี้การวิจัยของICL นั้นยังไม่ได้รับการทบทวนโดยสถาบันวิจัยอื่นๆ
“ไฟเซอร์” คาดโควิด-19อาจระบาดยืดเยื้อจนถึงปี2567
ไฟเซอร์คาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19จะดำเนินต่อไปจนถึงปี2567นายไมเคิลโดลสเตนหัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านวิทยาศาสตร์ของไฟเซอร์เปิดเผยกับบรรดานักลงทุนว่าไฟเซอร์คาดว่าบางภูมิภาคจะยังคงพบผู้ติดเชื้อโควิด-19จำนวนมากจากการระบาดใหญ่ (Pandemic) ในปีหน้าหรือสองปีข้างหน้าขณะที่ในประเทศอื่นๆนั้นโรคโควิด-19จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) โดยมีอัตราการติดเชื้อต่ำและสามารถควบคุมได้ในช่วงระยะเวลาเดียวกันดังกล่าวไฟเซอร์คาดการณ์ว่าภายในปี2567โรคโควิด-19จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นทั่วโลก “สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใดและอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับวิวัฒนาการของโรคสังคมใช้วัคซีนและการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใดและการกระจายวัคซีนอย่างเท่าเทียมไปยังสถานที่ที่มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ” นายโดลสเตนกล่าว “การเกิดขึ้นของไวรัสสายพันธุ์ใหม่อาจส่งผลให้การแพร่ระบาดใหญ่ยังคงดำเนินต่อไป” เขาระบุเสริมการคาดการณ์ของไฟเซอร์มีขึ้นหลังจากที่มีการตรวจพบไวรัสโควิด-19สายพันธุ์โอมิครอนเมื่อเดือนที่แล้วซึ่งมีการกลายพันธุ์มากกว่า50ครั้งเมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิมโดยได้ลดประสิทธิภาพของวัคซีนสองโดสในการป้องกันการติดเชื้อและกระตุ้นให้เกิดความวิตกว่าไวรัสโอมิครอนจะแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปทั่วโลกทั้งนี้ก่อนตรวจพบสายพันธุ์โอมิครอนนั้นนายแพทย์แอนโทนีเฟาชีแพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19ของทำเนียบขาวคาดว่าการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19ในสหรัฐนั้นจะสิ้นสุดลงในปี2565
รายงานศึกษา “โอมิครอน” ชี้ “ซิโนฟาร์ม” อาจเอาไม่อยู่
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตันและHumabs Biomed SA ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ของสวิตเซอร์แลนด์พบว่าวัคซีนซิโนฟาร์มของจีน, จอห์นสันแอนด์จอห์นสันของสหรัฐและสปุตนิกของรัสเซียมีประสิทธิภาพต่ำในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19สายพันธุ์โอมิครอนรายงานระบุว่าผู้ทื่ได้รับวัคซีนซิโนฟาร์มครบโดสจำนวน3จาก13รายเท่านั้นที่ร่างกายสามารถสร้างแอนติบอดีต้านทานโอมิครอนและผู้ที่ได้รับวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสันมีเพียง1จาก12รายเท่านั้นที่มีภูมิต้านทานส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนสปุตนิกจำนวน11รายไม่มีแม้แต่รายเดียวที่มีภูมิต้านทานรายงานยังระบุว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสของไฟเซอร์/ไบออนเทค, โมเดอร์นารวมทั้งแอสตร้าเซนเนก้าต่างก็มีแอนติบอดีต่ำเช่นกันอย่างไรก็ดีผลการศึกษาพบว่าผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19และได้รับวัคซีนครบโดสของไฟเซอร์/ไบออนเทคจะมีการลดลงของแอนติบอดีน้อยที่สุดโดยลดลงเพียง5เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสของไฟเซอร์/ไบออนเทคแต่ไม่เคยติดเชื้อโควิด-19ซึ่งจะลดลงมากถึง44เท่าขณะนี้ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้ระบาดไปยัง77ประเทศทั่วโลกแล้วหลังจากมีการตรวจพบไวรัสดังกล่าวครั้งแรกที่แอฟริกาใต้ไม่ถึง1เดือนโดยโอมิครอนสามารถแพร่ระบาดได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์เดลตาถึง70เท่า
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.