- Advertisement -

ราคาทองคำ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับตัวลงต่ำกว่า 1,900 ดอลลาร์ มาปิดที่ 1896 ดอลลาร์ ลดลงประมาณ 5% หลังจากที่ราคาทองคำไม่สามารถทะลุ 2,000 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ ได้

Neils Christensen นักวิเคราะห์จาก Kitco News มองว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำ ถูกกดดันจากดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี

โดยนักลงทุนได้เตรียมพร้อมสำหรับการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า

ตลาดคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 50 bp. ในการประชุมเดือน พ.ค. และ อีก 2 ครั้งถัดไปคือเดือน มิ.ย. และ ก.ค. ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยทั้งปี จะสูงกว่า 3%

- Advertisement -

อย่างไรก็ตาม ยังมีนักลงทุนบางส่วนมองว่า อาจจะไม่ไปถึงจุดนั้น เพราะแม้ว่าเฟดต้องการแก้ปัญหาเรื่องของเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น หลังดัชนี CPI พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 40 ปี แต่ดูเหมือนว่าเฟด ก็ต้องกังวลเรื่องของภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เริ่มเห็นเค้าลางเพิ่มมากขึ้น

ประเด็นสำคัญที่สร้างความตระหนกครั้งใหญ่ เกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา หลังตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของสหรัฐฯ หดตัว 1.4%

นักเศรษฐศาสตร์สังเกตว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงจำนวนมากเกิดจากความไม่สมดุลทางการค้า แม้ว่าลูกค้าจะยังได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี แต่รอยร้าวก็เริ่มปรากฏให้เห็น

คำถามคือ ผู้บริโภคจะอยู่ได้นานแค่ไหน เมื่ออัตราเงินเฟ้อยังคงเพิ่มสูงขึ้น และเมื่อคืนวันศุกร์ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป รวมหมวดอาหารและพลังงานเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นมาตรการเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ จับตา ก็พุ่งขึ้น 6.6% สูงสุดใหม่ในรอบ 40 ปี

ด้าน Commerzbank และ Scotiabank ได้เพิ่มการคาดการณ์ทองคำสำหรับปี 2022

- Advertisement -

ทั้งสองธนาคาร เห็นราคาทองคำเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 1,900 ดอลลาร์ ต่อออนซ์ และการที่เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนอาหารและพลังงาน เพราะทั้งราคาอาหารและพลังงาน ยังคงได้รับผลกระทบจากการทำสงครามอย่างต่อเนื่องของรัสเซียกับยูเครน ทำให้เฟดไม่สามารถทำได้เพื่อแก้ไขปัญหาด้านอุปทานได้ หมายความว่าเงินเฟ้อจะไม่หายไปในเร็ว ๆ นี้ นี่คือเหตุผลที่ใหญ่ ที่ 2 ธนาคารรายใหญ่ ถึงยังคงเชื่อมั่นในทองคำ

- Advertisement -