ทิศทางราคาทองคำ 2566 – Gold Outlook 2023 EP1 : ฟังมุมมองจาก คุณธีรรัฐ จุฑาวรากุล บจ.อินเตอร์โกลด์ (คลิป)
ทิศทางราคาทองคำ 2566 – Gold Outlook 2023
พูดคุยกับ คุณธีรรัฐ จุฑาวรากุล – บจ.อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด (InterGOLD)
ดำเนินรายการโดย อนุสรณ์ แก้วประจันทร์ บรรณาธิการข่าว GoldAround.com
โฟกัสทองคำ 2023 : ทองคำเปิดโหมด “save heven” หลังเศรษฐกิจโลกถดถอย – ความขัดแย้งระหว่างประเทศส่อเค้าระอุ
รับชมคลิป
นาย ธีรรัฐ จุฑาวรากุล กรรมการผู้จัดการ บจ. อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด กล่าวกับ GoldAround ถึงภาพรวมตลาดทองคำปีนี้ว่า
ตั้งแต่ต้นปี ราคาทองคำอยู่ที่ 1,828 ดอลลาร์ ซึ่งอยู่ใกล้เคียงกับขณะนี้ (1,793 ดอลลาร์) ก่อนจะเกิดสงคราม รัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปี ใกล้กับราคาเมื่อปี 2021 ที่ 2,070 ดอลลาร์ จากนั้นราคาทองคำก็ปรับตัวเป็นขาลงเป็นเวลาประมาณ 10 เดือน
ทั้งนี้ หากดูใน Time Frame รายเดือน จะเห็นได้ว่า กราฟราคาทองคำปรับตัวลดลงเป็นแท่งสีแดง ตั้งแต่เดือน 3 เดือน 9 ถือเป็นการลงติดต่อกันยาวนานที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เพิ่งกลับมาเป็นแท่งเขียวในเดือน 11 โดยจุดต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 1,619 ดอลลาร์ ทำให้ราคาลงมาจากจุดสูงสุดร่วม 400 ดอลลาร์
แต่ราคาทองไทยไม่ได้รู้สึกถึงการลดลงขนาดนั้น เพราะว่าดอลลาร์แข็งค่าและทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งต้นปีเงินบาทอยู่ที่ประมาณ 32-33 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะอ่อนค่าลงไป 38 บาท ทำให้ราคาทองคำไม่ได้ปรับลดลงมาก
ในทางเทคนิคเมื่อเดือน พ.ย. ราคาทองได้ปิดเป็นแท่งเขียวยาว ๆ แสดงให้เห็นว่า การเป็นแนวโน้มขาลง ได้จบลงแล้ว ส่วนในเดือน ธ.ค. ปกติราคาจะไม่ผันผวนมาก ซึ่งอาจจะทำให้ราคาทองคำปิดปีนี้อยู่ที่ประมาณ 1,780 ดอลลาร์ โดยอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง 20 30 ดอลลาร์
กรรมการผู้จัดการ อินเตอร์โกลด์ฯ กล่าวถึงแนวโน้มราคาทองคําในปีหน้าว่า
แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ยังคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง จึงอยากจะให้มองเรื่องการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของ เฟด ในการประชุมเดือน ธ.ค.ว่า ในปี 2023 และปี 2024 อัตราคนว่างงานจะขึ้นเพิ่มขึ้นประมาณ 4.6% จากปีนี้อยู่ที่ 3.7%
ส่วนเรื่องของเงินเฟ้อ ซึ่งจะใช้ดัชนี PCE ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 5.6% ปีหน้าจะลดเหลือ 3% กว่า ๆ และปีถัดไปจะลดเหลือ 2% ซึ่งส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ย มีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ 5.25 % ซึ่งใกล้เคียงกับตอนนี้ ก็อยู่ที่ประมาณ 4.25%
“นั่นหมายความว่า เฟดมองว่าเงินเฟ้อกำลังจะสิ้นสุดลง ทำให้การปรับขึ้นดอกเบี้ยทำได้อีกเพียงเล็กน้อย แต่สิ่งที่ดูน่ากังวลก็คือเรื่องของอัตราการจ้างงาน ซึ่งเฟดกำลังสื่อความหมายว่า ปีหน้ากำลังจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะอัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปกติแล้ว เฟดจะมองโลกในแง่ดีไว้ก่อน
โดยจะตั้งตัวเลขไม่สูงมาก เพื่อไม่ให้เกิดการแตกตื่นในตลาด ดังนั้น การที่คาดการณ์ว่าอัตราว่างงานจะสูงขึ้นแค่ 1% จริง ๆ แล้วอาจจะสูงกว่านั้น
ทำให้เห็นได้ว่า ในปีหน้าจะมีคนตกงานมากขึ้น แต่จุดสูงสุดของอัตราว่างงานอาจจะขึ้นไปถึงระดับ 5-6% ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับช่วงวิกฤตซับไพรม์ก็เป็นได้” กรรมการผู้จัดการ อินเตอร์โกลด์ฯ กล่าว
ส่วนในเรื่องของเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงหรือไม่นั้น กรรมการผู้จัดการ อินเตอร์โกลด์ฯ มองว่า
ต้องมาดูว่า จะมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เงินเฟ้อชะลอตัวลงบ้าง ปัจจัยแรกเรื่องของการพิมพ์เงิน ซึ่งสิ้นสุดแล้วและมีการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดึงเงินกลับซึ่งที่ผ่านมาได้ผล
แต่ก็อาจจะมีบางปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อยังคงอยู่ได้ ก็คือ เรื่องของความขัดแย้งระหว่างประเทศ ซึ่งล่าสุดทางประธานาธิบดีของจีนไปเยือนซาอุดิอาระเบีย และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี ซึ่งจะต่างจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไปเยือน
แสดงให้เห็นว่า ประเทศซาอุดิอาระเบียได้เลือกอยู่ข้างใคร ซึ่งอาจจะเป็นการส่งสัญญาณถึงเรื่องของสงครามทางการค้า หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศ น่าจะยังคงอยู่และจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ล่าสุดที่ประธานาธิบดีของจีน ไปเยือนซาอุฯ ก็ได้มีการเจรจาให้ซื้อน้ำมันด้วยเงินหยวน ซึ่งซาอุฯ ก็ยินยอมทำให้หลังจากนี้ประเทศใดที่ต้องการซื้อน้ำมันด้วยเงินหยวนก็สามารถทำได้ เหมือนกับที่อเมริกาใช้ US Dollar ในการซื้อน้ำมัน ก็ทำให้เกือบทุกประเทศต้องใช้ US Dollar ในการซื้อน้ำมันเช่นกัน
โดยจะขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลแต่ละประเทศ แต่จะสะท้อนให้เห็นว่า หลังจากนี้จะเกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจน โดยมีประเทศซาอุดิอาระเบียเข้ามาทำให้เกมตลาดการค้าโลกเปลี่ยนไป
“หากเราเอาภาพที่เกิดขึ้นมาเกี่ยวโยงกับเรื่องเงินเฟ้อ ก็อาจจะทำให้เห็นว่าเงินเฟ้อคงจะไม่ลดลงไปในระดับปกติได้อย่างรวดเร็วเหมือนอย่างที่เฟดบอก”
เรื่องต่อมาก็คือ อัตราการว่างงาน หากว่ามากกว่าที่เฟดคาดการณ์ที่ 4.6 % ขึ้นไปอยู่ที่ 5% กว่า ๆ เฟดจะใจแข็งพอหรือไม่ ที่จะไม่ลดดอกเบี้ย หรือปล่อยให้ขึ้นดอกเบี้ยไปที่อัตรา 5% กว่า ๆ ตามที่ต้องการ หรืออาจจะพิมพ์เงินเข้ามาด้วยซ้ำ เพราะหากอัตราว่างงานพุ่งไปแต่ระดับ 7 % เฟดจะต้องทำอะไรบ้าง เพราะจากที่ดูสถานการณ์โดยรอบ ก็มีโอกาสน่าจะเกิดขึ้นได้
หากอัตราเงินเฟ้อเป็นไปตามที่เฟดคาดการณ์ เศรษฐกิจโลกดี ทุกคนเป็นมิตรกัน เหมือนที่ก่อนเกิด Covid ระบาด ทุกคนทำการค้าร่วมกัน ไม่มีความขัดแย้ง ซึ่งสถานการณ์จริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น
ทำให้ดูว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับสิ่งที่เฟดคาดการณ์ไม่ตรงกัน อัตราการว่างงานอาจจะสูงขึ้น ความขัดแย้งระหว่างประเทศก็จะยังคงอยู่ เงินเฟ้อจะสูงกว่าที่คิดไว้ เพราะฉะนั้นอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับเป็น 5.25% อาจจะไม่ถึง หรือปรับขึ้นไปได้ก็ต้องรีบปรับลง เพราะมองว่าทุกอย่างมีความอ่อนไหว ทำให้มองว่าปีหน้าจะเป็นปีที่ดีทองคำ
ส่วนนักลงทุน ในจุดนี้ราคาทองคำก็ไม่ถือว่าสูงมากเกินไป และจะเป็นโอกาสดีที่จะเก็บสะสม เพื่อรอเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะกระตุ้นให้ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งมองว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก และอาจจะเกิดตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าด้วยซ้ำ ซึ่งราคาทองคำก็พร้อมที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ
ดังนั้น หากมีเงินเหลือ ก็ให้ซื้อเก็บสะสมไว้ หากมีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาก็สามารถจะขายได้ในราคามีกำไร แต่หากไม่เกิดอะไรขึ้น ก็เก็บเอาไว้
ซึ่งเชื่อว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 1-2 ปีนี้ และมองว่า ทองคำจะเข้าสู่โหมด Safe haven ในปีหน้า ซึ่งจะเป็นสินทรัพย์ที่ต้องเก็บไว้ในยามวิกฤตแม้ว่าหากปัญหาต่าง ๆ ไม่เกิด ราคาทองคำคงไม่ลดลงมาก แต่มองว่าสถานการณ์ในภาพรวมมีความอ่อนไหวที่จะเกิดมากกว่า
Comments are closed.