วานนี้( 15 ก.ย.) ราคาทองคำดิ่งลงร่วม 40 ดอลลาร์ แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าสองปี โดยได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกของธนาคารกลางสหรัฐ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและอัตราผลตอบแทนของกระทรวงการคลังพุ่งขึ้นแรง

ทั้งนี้ทองคำไม่สามารถยืนเหนือแนว 1,700 ดอลลาร์เมื่อต้นสัปดาห์ได้ ทำให้ราคาถอยกลับไปแตะระดับต่ำสุดในเดือนเมษายน 2020 โดย Phil Streible chief market strategist Blue Line Futures กล่าวกับ Kitco News ว่า ทองคำกำลังต่อสู้กับดอลลาร์สหรัฐ และคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ทั้งนี้ราคาทองคำได้ร่วงลงอย่างรวดเร็วหลังหลุดแนวรับระดับ 1,685 ดอลลาร์

หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจมหาภาคสำคัญหลายรายการในสัปดาห์นี้ รวมถึงข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่ร้อนแรงเกินคาด และยอดค้าปลีกที่ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ Edward Moya senior market analyst OANDA เชื่อว่า เฟด มีแนวคิดที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวในการประชุมรอบถัดไปที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า แต่ตลาดก็วิตกกังวลมากขึ้นว่าความผิดพลาดของนโยบายจะนำไปสู่วิกฤตที่รุนแรง

ทั้งนี้ CME Fed Watch ระบุว่ามีโอกาส 78% ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75%  และมี0โอกาส 22% ที่จะเพิ่มขึ้นดอกเบี้ย 1 % ในการประชุม FOMC เดือนกันยายน กลางสัปดาห์หน้า

Phil Streible  กล่าวเพิ่มเติมว่านอกเหนือจากการคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.แล้ว ดูเหมือนว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงต่อไปในช่วงที่เหลือของปี ทำให้กดดันราคาทองคำอย่างหนัก อย่างไรก็ดีการกระทำดังกล่าวเสี่ยงที่จะทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตามมา

Edward Moya ระบุว่า ทองคำร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ทะลุทุกแนวรับ ทำให้โมเมนตั้มการขายค่อนข้างแข็งแกร่ง และคาดว่าโมเมนตั้มดังกล่าวจะอยู่ไปจนกว่าจะถึงวันประชุมของเฟดในเดือนกันยายนในวันพุธหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเฟด สร้างความประหลาดใจด้วยการปรับขึ้น ดอกเบี้ย 1% อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นเพียง 0.75%

สำหรับทองคำจะเห็นการฟื้นตัว ก็ต่อเมื่อตลาดจะต้องเห็นการชะลอตัวการขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่ง Edward Moya มองว่าอาจเกิดขึ้นได้ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจเริ่มเสื่อมถอย ทำให้เฟดก้าวออกจากนโยบายการเงินที่เข้มงวดได้ ที่สำคัญจะต้องเห็นอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง