- Advertisement -

หลังจากที่ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ส่งสัญญาณว่าจะเตรียมพิจารณาลด QE ในเดือน พ.ย. และอาจจะเริ่มดำเนินการในเดือน ธ.ค. พร้อมกับส่งสัญญาณการปรับอัตราดอกเบี้ย ภายในเดือน ธ.ค. 2565 โดยอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 1% ภายในสิ้นปี 2566

George Milling Stanley, chief gold strategist at State Street Global Advisors กล่าวกับ Kitco News ว่า หลังจากที่เฟด ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรก หลังการประชุม FOMC เมื่อเดือน มิ.ย. ทำให้ราคาทองคำร่วง 100 ดอลลาร์ แต่หลังการประชุม FOMC เดือน ก.ย. เฟดได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น ราคาทองคำก็ลดลงแต่ยังเคลื่อนไหวที่แนวรับ 1,750 ดอลลาร์ ได้ ทำให้มองว่า “ตลาดเริ่มคุ้นเคยกับนโยบายการเงินของเฟด”

George Milling Stanley กล่าวเพิ่มเติมว่า บทบาทของทองคำ ยังสำคัญกว่าที่อัตราดอกเบี้ยกำลังจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน

โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความเสี่ยงที่ใกล้เข้ามา โดยนักวิเคราะห์มองว่าปัญหาของ Evergrande อาจจุดชนวนให้เกิดวิกฤตสภาพคล่องทั่วโลก เพราะบริษัทมีหนี้ 300,000 ล้านดอลลาร์ และต้องจ่ายดอกเบี้ยเกือบ 1,000 ล้านดอลลาร์ในอีกสามเดือนข้างหน้า

- Advertisement -

นอกจากนั้น ยังให้จับตาเรื่องของการพิจารณาร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เพื่อให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ให้มีงบประมาณใช้จ่าย และเรื่องขยายหรือยกเลิกเพดานหนี้ของสหรัฐฯ ด้วย

ก่อนหน้านี้ เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อสภาคองเกรส โดยเรียกร้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ เพิ่มเพดานหนี้ หลังประเมินว่า รัฐบาลจะใช้เงินหมดในเดือน ต.ค. ซึ่งประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จะเห็นได้ชัดว่านักลงทุนอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ต้องการความเสี่ยง และยังมีความไม่แน่นอนมากมายที่ต้องกังวล

ดังนั้น ทองคำจึงจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในการป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงจากตลาดหุ้น

ทั้งนี้ หากมองย้อนกลับไปที่วิกฤตทางการเงินในอดีต หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาเพราะการประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป

ที่มา : Kitco

- Advertisement -