- Advertisement -

มาดูภาพรวมตลาดทองคำในสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-24 ธ.ค.)

ราคาทองคำได้ปรับตัวลงแรงตั้งแต่วันพุธ จนกระทั่งมาถึงวันศุกร์ ก็ยังปิดตลาดลดลงอีกประมาณ 5 ดอลลาร์ ทำให้ 3 วันหลังราคาลดลงไปประมาณ 55 ดอลลาร์

โดยเมื่อวันศุกร์ ราคาทองคำ ได้ร่วงลงแต่จุดต่ำสุดที่ 1,780 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือน ธันวาคมที่ผ่านมา ก่อนที่จะวกมาปิดตลาดที่ 1,791 ดอลลาร์ ได้ ซึ่งถือเป็นอีกจุดแนวรับสำคัญ เพราะอยู่แนวเส้น MA 100 หากดูในกราฟราย วันยังคงเป็นทิศทางขาขึ้นอยู่ แต่หากดูภาพรวมทั้งสัปดาห์ ราคาทองคำได้ลดลงไปเกือบ 43 ดอลลาร์

โดยสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่าราคาทองคำได้เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบประมาณ 55 ดอลลาร์ โดยขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 1,853 ดอลลาร์ ก่อนจะลดลงมาแตะจุดต่ำสุดที่ 1,780 ดอลลาร์

ทำให้ภาพรวมรายสัปดาห์ออกไม่ดี และแนวโน้มในรายสัปดาห์ขาลงดูได้เปรียบ ต้องดูวันจันทร์ว่าจะมีแรงรีบาวด์กลับมาหรือไม่

- Advertisement -

ทั้งนี้ ราคาทองคำถูกกดดันจากผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ เดือน มกราคม แม้ว่าที่ประชุมเฟด จะไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ในปีนี้จะปรับขึ้นดอกเบี้ยกี่ครั้ง และ เริ่มเมื่อไร

แต่จากสัญญาณที่ทางประธานเฟดได้แถลงหลังการประชุม เกี่ยวกับการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ตลาดมองว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยมากกว่า 3 ครั้ง และจะขึ้นครั้งแรกหลังการประชุม FOMC เดือน มีนาคม และการขึ้นครั้งแรกอาจจะขึ้นมากถึง 0.50 % สูงกว่าที่ ประธานเฟดระบุก่อนหน้านี้ ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.25%

อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะมีการประชุมเฟด ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้ปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ลง โดยระบุว่า เป็นผลจากปรับเปลี่ยนนโยบายการอุดหนุนทางการเงินของเฟด

ซึ่งประเด็นนี้ก็ต้องมาจับตาว่า จะมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร เพราะสัญญาณล่าสุดที่ประธานเฟดได้ส่งออกมา ดูจะมีความเข้มข้นมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะขณะนี้ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สุดท้ายแล้ว ตลาดได้มองว่าเฟดจะเร่งดึงเงินออกจากระบบ ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างหนัก โดยในวันศุกร์ได้พุ่งไปแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 97.441 ก่อนจะลดลงมาปิดตลาดที่ 97.217 แต่ถ้ามาดูในการเคลื่อนไหวของดัชนีดอลลาร์รายสัปดาห์ จะเห็นได้ว่าแข็งค่าขึ้นถึง 1.65 % จากเปิดตลาดวันจันทร์ที่ 95.636 มาปิดที่ 97.217 ต้องมาดูว่าในสัปดาห์หน้าทิศทางเงินดอลลาร์ในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร

- Advertisement -

มาดูมุมมองของนักวิเคราะห์จากฝั่งวอล์สตรีทกันบ้าง

แดเนียล พาวิโลนิส นายหน้าซื้อขายสินค้าอาวุโสของ RJO Futures กล่าวกับ Kitco news ว่า ราคาทองคำร่วงลง 70 ดอลลาร์ จากระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน หลังการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ความสนใจของตลาดตอนนี้เปลี่ยนไปที่ข้อมูลเศรษฐกิจ ซึ่งอาจไม่ดีพอที่จะทำให้ราคาทองคำย้อนกลับไปเคลื่อนไหวขาลง

ทั้งนี้ แดเนียล พาวิโลนิส มองว่า ราคาทองคำอยู่ที่ระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มาตั้งแต่เดือน มิถุนายน ปีที่ผ่านมา ซึ่งข้อมูลการแถลงของประธานเฟด และการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ได้สกัดโมเมนตั้มขาขึ้นของทองคำ แต่ แดเนียล ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า ในระยะยาวอาจเห็นว่าเฟดไม่ต้องการปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงเกินไป และมองว่าการร่วงลงขอราคาทองคำในรอบนี้ เป็นโอกาสในการซื้อเพื่อการลงทุนในระยะยาว

ขณะที่ Bart Melek หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ระดับโลกของ TD Securities กลับมองว่า สัญญาณที่ประธานเฟดส่งออกมา ค่อนข้างแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยระบุว่า การจ้างงานอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี และเฟดไม่เชื่อว่านโยบายที่เข้มงวดในปัจจุบันจะส่งผลกระทบด้านลบต่อตลาดแรงงาน

Bart Melek มองว่า เฟดดูเหมือนตั้งใจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อทำให้เงินเฟ้อลดมาอยู่ในระดับที่คาดหวังไว้ โดยเฟดกำลังส่งสัญญาณว่า อัตราดอกเบี้ยกำลังสูงขึ้น และสภาพคล่องจะไหลออกจากระบบ ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อราคาทองคำในระยะยาว

อย่างไรก็ดี Bart Melek มองว่า สถานการณ์ในขณะนี้ ไม่ใช่เป็นการพ่ายแพ้ของทองคำ โดยแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 1,780 ดอลลาร์ แต่หากมองในไตรมาสแรก ก็มีความเสี่ยงที่ราคาทองคำจะลดลงมาที่ 1,740-1,725 ดอลลาร์

นอกจากนั้น นักวิเคราะห์ยังให้จับตาการเคลื่อนไหวของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เพราะทองคำถือเป็นปรปักษ์โดยตรงกัน ทั้งอัตราดอกเบี้ย และ บอนด์ยีลด์

อย่างไรก็ดี ราคาทองคำได้แรงหนุน

จากความต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดการเงิน รวมถึงยังได้แรงหนุนจากความเสี่ยงจาก ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง รัสเซีย และ ยูเครน ที่มี นาโต้ และ สหรัฐฯ เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งก็ต้องมาดูว่าสถานการณ์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร

- Advertisement -