การเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ตั้งแต่เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงเป็นลักษณะ sideway ในกรอบ 1,925-1,945 ดอลลาร์ โดยหลายฝ่ายคาดว่า นักลงทุนรอผลการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ที่เมืองแจ็กสันโฮล ในวันที่ 27-28 ส.ค. ในหัวข้อ “Navigating the Decade Ahead: Implications for Monetary Policy”
ส่วนตัวเชื่อว่าผลการประชุมเฟดที่เมืองแจ็กสันโฮล คงจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดทองคำมากนัก เพราะที่ผ่านมา ตลาดรับรู้แนวทางและนโยบายสำคัญของเฟด จากการแถลงข่าวในครั้งที่ผ่าน ๆ มาแล้ว และเมื่อวานนี้ ดัชนีตลาดหุ้นหลัก ๆ ของสหรัฐฯ ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า ทำให้เฟดมองว่า นโยบายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังไปได้ดี รวมถึงยังไม่อัดฉีดเงินเข้าระบบเพิ่มเติมด้วย
คุณกีรดิต หิรัณยศิริ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มบริษัทในเครือ เอ็มทีเอสโกลด์ แม่ทองสุก กล่าวกับ GoldAround.com
ส่วนการเคลื่อนไหวของราคาทองคำตอนนี้อยู่ในช่วงปรับฐาน เพื่อที่จะเตรียมปรับขึ้นต่อ โดยเมื่อราคาได้เคลื่อนไหวเหนือระดับ 1,920 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุดเดิมเมื่อปี 2011 ได้ ในทางเทคนิคถือว่ามีทิศทางที่ดี ที่สำคัญยังมีปัจจัยหนุนจากข่าวต่าง ๆ มากมาย ทั้งนี้ คาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในลักษณะ sideway ในกรอบ 30-50 ดอลลาร์ ไปอีก 2-3 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นกรอบที่ไม่กว้าง เพราะคิดเป็น 1-2 เปอร์เซ็นต์ ของราคาทองคำในปัจจุบันเท่านั้น
ส่วนกลยุทธ์การลงทุน นายกีรดิตฯ แนะนำว่า กลุ่มเทรดเดอร์ เมื่อราคาย่อลงมาแนว 1,920 ดอลลาร์ ให้เข้าซื้อ โดยมีเป้าหมายการขายที่ระดับ 1,950-1,980 ดอลลาร์ ส่วนกลุ่มลงทุนระยะกลางถึงยาว แนะนำให้เข้าซื้อบริเวณ 1,900 ดอลลาร์ ก่อนจะถือยาวไป 1 ปี โดยคาดว่าจะทำกำไรได้ดี เพราะแนวโน้มระยะยาวราคาทองคำยังดูมีอนาคตที่ดี และทองคำถือเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่หลายฝ่ายให้ความสนใจอยากมากในขณะนี้
ปัญหาหลักในปัจจุบัน คือ เรื่องเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายประเทศต้องอัดฉีดเงินจำนวนมากเข้ามาในระบบ เพื่ออุ้มภาคธุรกิจ และช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ได้พิมพ์เงินดอลลาร์ออกมาเป็นจำนวนมาก และคาดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี จึงจะคลี่คลาย
หากจะเปรียบเทียบกับวิกฤตเศรษฐกิจในรอบที่แล้ว ก็ได้มีการอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อแก้ปัญหาตั้งแต่ปี 2008 แต่กว่าทุกอย่างจะคลี่คลายและทำให้ราคาทองถึงจุดสูงสุด ก็คือปี 2010 ซึ่งวิกฤตครั้งนี้ ใช้ปริมาณเงินมากกว่าครั้งที่ผ่านมามหาศาล โดยเริ่มอัดฉีดในปีนี้ และคาดว่าจะต้องใช้เวลา 2-3 ปี กว่าจะแก้ปัญหาได้หมด ดังนั้น จึงไม่แปลกที่นักวิเคราะห์จะมองว่าราคาทองคำอาจจะพุ่งไปถึง 3,000 ดอลลาร์ ในอนาคต
ขอขอบคุณ : บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด แม่ทองสุก