รายงานล่าสุด จากสภาทองคำโลก หรือ WGC ระบุว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ ได้แตะระดับสูงสุดในรอบ 31 ปี ทำให้เดือนที่ผ่านมานักลงทุนได้มองหาทองคำเพิ่มเติม เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ อย่างไรก็ ตามโมเมนตั้ม ราคาทองคำไม่ได้ยืนยาวเนื่องจาก หลังไม่สามารถยืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์ ได้
นักวิเคราะห์กล่าวในรายงานว่า ภาพรวมทั่วโลก เดือน พ.ย. กองทุน ETF ทองคำ ได้ซื้อทองคำเพิ่มขึ้น 13.6 ตัน ถือเป็นการเพิ่มขึ้นของตลาด ETF ทองคำ นับตั้งแต่เดือน ก.ค. นำโดยกองทุน ETF จากอเมริกาเหนือและยุโรป โดยกองทุนที่จดทะเบียนในอเมริกาเหนือถือครองเพิ่มขึ้น 12.1 ตัน และกองทุนที่จดทะเบียนในยุโรปมีการไหลเข้า 5.6 ตัน ขณะที่กองทุน ETF ในเอเชียได้ขายออก 5 ตัน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าความต้องการ ETF จะเพิ่มขึ้นในเดือนที่แล้ว แต่เมื่อมองภาพรวมทั้งปี พบว่าปริมาณทองคำยังลดลงจากปีที่แล้วมากกว่า 4% หรือ ลดลง 167 ตัน คิดเป็นมูลค่า 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากความผันผวนด้านการเงิน และค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา
อดัม เพอร์ลากี นักวิเคราะห์อาวุโสของ WGC กล่าวว่า ราคาทองคำปิดตลาดเดือน พ.ย. สูงกว่า 2% เนื่องจากการคาดการณ์เงินเฟ้อพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของเดือน พ.ย. ราคาทองคำได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันลดลง และความกังวลจากการแพร่ระบาดของ COVID Omicron ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม WGC ตั้งข้อสังเกตว่า แม้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ แต่ต้องจับตาการเคลื่อนไหวของมุมมองของ FED จากเรื่องดังกล่าวด้วย
ส่วนการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในปี 2565 นั้น WGC มองว่า อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับทองคำ
นอกจากนั้น ยังต้องจับตามองการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น จะยังคงหนุนราคาทองคำ เพราะจะเป็นสินทรัพย์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากปัจจัยต่าง ๆ
ที่มา : Kitco.com
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.