ดัชนี CPI เดือนพ.ย.พุ่งขึ้นในระดับสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี
คืนนี้สหรัฐไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ
แนวโน้มราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบ 1,770-1,792ดอลลาร์
- ราคาทองคำ Spot เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในกรอบ 1,769-1,789 ดอลลาร์ ซึ่งราคาทองคำยังได้รับปัจจัยหนุนจากความเสี่ยงของเงินเฟ้อ โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 6.8% เมื่อเทียบรายปี เป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี ซึ่งอาจเป็นปัจจัยให้เฟดเร่งปรับลดวงเงิน QE และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปีหน้า ทางด้านกองทุน SPDRGold Trust ขายทองคำสุทธิ 1.74 ตันจากสัปดาห์ที่ผ่านมา
- สัปดาห์นี้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ ในวันที่ 14-15 ธ.ค. นี้ ซึ่งตลาดคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมที่ระดับ 0.00%-0.25% แต่อาจจะประกาศเร่งนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น นอกจากนี้ติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางอังกฤษในวันที่ 16 ธ.ค. ส่วนคืนนี้สหรัฐไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ
- แนวโน้มราคาทองคำ Spot คาดเคลื่อนไหวในกรอบ 1,770-1,792ดอลลาร์ โดยมีแนวต้าน 1,792 ดอลลาร์ และ 1,800ดอลลาร์ขณะที่มีแนวรับที่ 1,770 ดอลลาร์ และ 1,760 ดอลลาร์
ราคาทองตลาดโลก
Close | chg. | Support | Resistance |
1,781.70 | +7.1 | 1,770/1,760 | 1,792/1,800 |
ราคาทองแท่ง 96.5%
Close | chg. | Support | Resistance |
28,400 | +150 | 28,250/28,050 | 28,550/28,650 |
โกลด์ฟิวเจอร์ส
Close | chg | Support | Resistance |
28,340 | -30 | 28,200/28,040 | 28,490/28,620 |
แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาทอง Spot ปรับขึ้นมาที่ 1,770ดอลลาร์ (GF 28,200บาท)โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,760ดอลลาร์ (GF28,040บาท)
โกลด์ออนไลน์ฟิวเจอร์
Close | chg | Support | Resistance |
1,777.60 | -5.70 | 1,771/1,761 | 1,793/1,801 |
แนะนำเข้าซื้อเมื่อราคาGOZ21ปรับขึ้นมาที่ 1,771ดอลลาร์ โดยมีจุดขายตัดขาดทุนที่ 1,761ดอลลาร์
ค่าเงิน
ค่าเงินบาทเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมากลับมาอ่อนค่าอีกครั้ง โดยปัจจัยมาจากนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิในตลาดพันธบัตรไทย รวมถึงเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้น ในขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาทในระยะสั้นคาดว่าอ่อนค่าต่อเนื่องโดยUSD Futures เดือนธ.ค.2564 คาดจะมีแนวรับที่ 33.30บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้าน33.70บาท/ดอลลาร์
News
ตลาดการเงินต่างประเทศ: ดอลล์อ่อนค่าแม้สหรัฐเผยเงินเฟ้อพุ่ง
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ธ.ค.) แม้รัฐบาลสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปีก็ตามทั้งนี้ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินลดลง 0.18% แตะที่ 96.097
ตลาดโลหะมีค่าต่างประเทศ : ทองปิดบวก $8.1 จากแรงซื้อหลังเงินเฟ้อสหรัฐพุ่ง
สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ธ.ค.) หลังนักลงทุนพากันเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อหลังรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปีทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดCOMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 8.1 ดอลลาร์หรือ 0.46% ปิดที่ 1,784.8 ดอลลาร์/ออนซ์และปรับตัวขึ้น 0.05% ในรอบสัปดาห์นี้ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 พ.ย. สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 18.2 เซนต์หรือ 0.83% ปิดที่ 22.195 ดอลลาร์/ออนซ์
ตลาดน้ำมันดิบต่างประเทศ :น้ำมันWTI ปิดบวก 73 เซนต์ตลาดคลายวิตกผลกระทบโอมิครอน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ธ.ค.) และปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดในรอบกว่า 3 เดือนหลังนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่มีต่อเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์น้ำมันสัญญาน้ำมันดิบWTI ส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 73 เซนต์หรือ 1% ปิดที่ 71.67 ดอลลาร์/บาร์เรลและพุ่งขึ้น 8.2% ในรอบสัปดาห์นี้ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 73 เซนต์หรือ 1% ปิดที่ 75.15 ดอลลาร์/บาร์เรลและพุ่งขึ้น 7.5% ในรอบสัปดาห์นี้
ตลาดหุ้นต่างประเทศ :ดาวโจนส์ปิดบวก 216.30 จุดรับข้อมูลเงินเฟ้อสอดคล้องคาดการณ์
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ธ.ค.) หลังการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนโดยตลาดปรับตัวรับการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐที่เป็นไปตามคาดในเดือนพ.ย. ซึ่งได้ช่วยลดแรงกดดันของนักลงทุนที่วิตกว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างรุนแรงดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,970.99 จุดเพิ่มขึ้น 216.30 จุดหรือ +0.60%, ดัชนีS&P500 ปิดที่ 4,712.02 จุดเพิ่มขึ้น 44.57 จุดหรือ +0.95% และดัชนีNasdaqปิดที่ 15,630.60 จุดเพิ่มขึ้น 113.23 จุดหรือ +0.73%
“ไฟเซอร์” ชี้อาจต้องฉีดวัคซีนโควิดเข็ม4เร็วกว่าคาดหลังโอมิครอนระบาด
นายอัลเบิร์ตเบอร์ลาประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทไฟเซอร์อิงค์เปิดเผยว่าประชาชนอาจจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19เข็มที่4เร็วกว่าที่คาดไว้หลังมีการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนก่อนหน้านี้นายเบอร์ลาคาดการณ์ว่าการฉีดวัคซีนเข็มที่4จะมีความจำเป็นหลังการฉีดเข็มที่3เป็นเวลา12เดือน “แต่เมื่อเกิดสายพันธุ์โอมิครอนทำให้เราจำเป็นต้องรอและจับตาดูต่อไปเนื่องจากเรามีข้อมูลน้อยมากทำให้เราอาจจำเป็นต้องมีการฉีดวัคซีนเข็มที่4เร็วขึ้น” นายเบอร์ลาระบุว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือการฉีดวัคซีนเข็มที่3ในช่วงฤดูหนาวนี้ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดในช่วงฤดูหนาวเนื่องจากประชาชนมักนิยมอยู่ในอาคารมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงอากาศหนาวเย็นนอกจากนี้นายเบอร์ลายังกล่าวว่าการใช้ยาแพกซ์โลวิดของไฟเซอร์จะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19และลดจำนวนผู้ที่ต้องเข้าโรงพยาบาลในช่วงฤดูหนาว
วุฒิสภาสหรัฐลงมติคว่ำข้อกำหนดบังคับฉีดวัคซีนโควิดของไบเดน
วุฒิสภาสหรัฐลงมติคัดค้านข้อกำหนดบังคับฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของประธานาธิบดีโจไบเดนซึ่งกำหนดให้ภาคเอกชนจะต้องให้พนักงานเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 วุฒิสภาสหรัฐลงมติด้วยคะแนนเสียง 52 ต่อ 48 เสียงในการคัดค้านข้อกำหนดดังกล่าวโดยสมาชิกพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นผู้เสนอญัตติให้เหตุผลว่าข้อกำหนดที่เข้มงวดจะสร้างความเสียหายต่อธุรกิจขนาดเล็กนายไมค์บราวน์วุฒิสมาชิกสหรัฐสังกัดพรรครีพับลิกันระบุว่า “รัฐบาลใช้อำนาจมากเกินขอบเขต” สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่าข้อกำหนดของปธน.ไบเดนมีโอกาสน้อยมากที่จะนำมาบังคับใช้เป็นกฎหมายโดยก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์สหรัฐได้ตัดสินไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของรัฐบาลที่บังคับให้พนักงานเอกชนเข้ารับการฉีดวัคซีนหรือตรวจเชื้อเมื่อไม่นานมานี้ปธน.ไบเดนได้ออกข้อกำหนดซึ่งระบุว่าเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 2565 บริษัทเอกชนที่มีพนักงานอย่างน้อย 100 คนจะต้องให้พนักงานเข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์หรือโมเดอร์นาจำนวน 2 เข็มหรือวัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสันจำนวน 1 เข็มและหากพนักงานคนใดไม่ปฏิบัติตามก็จะต้องถูกตรวจหาเชื้อโควิด-19 เป็นประจำส่งผลให้รัฐต่างๆที่เป็นฐานเสียงของพรรครีพับลิกันพากันยื่นฟ้องต่อศาลทั้งนี้ข้อกำหนดของปธน.ไบเดนก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากพรรครีพับลิกันและนักวิจารณ์รายอื่นๆซึ่งโต้แย้งว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะฉีดวัคซีนหรือไม่
WHO เผยยอดติดเชื้อโควิดในแอฟริกาใต้เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าขณะโอมิครอนแพร่ระบาด
องค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยรายงานล่าสุดว่ายอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในแอฟริกาใต้เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าตัวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนซึ่งกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่กระจายไปทั่วประเทศทั้งนี้WHO ระบุในรายงานที่เผยแพร่เมื่อวันพุธที่ 8 ธ.ค.ว่าในระหว่างวันที่ 29 พ.ย. 5 ธ.ค. ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมในแอฟริกาใต้พุ่งขึ้นถึง 111% จากสัปดาห์ก่อนหน้าส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉพาะในสัปดาห์ที่แล้วเพียงสัปดาห์เดียวอยู่ที่ประมาณ 62,000 รายขณะที่อัตราส่วนของผู้ที่มีผลตรวจโควิดเป็นบวกในช่วงต้นสัปดาห์ที่แล้วอยู่ที่ระดับ 22.4% ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับ 1.2% ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนพ.ย. WHO ระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่การพุ่งขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อดังกล่าวนั้นเกิดจากการแพร่กระจายของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนประกอบกับการผ่อนปรนกฎระเบียบด้านสาธารณสุขและการฉีดวัคซีนในระดับต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในประเทศโดยจนถึงขณะนี้มีประชากรแอฟริกาใต้ที่ได้รับวัคซีนครบโดสเพียง 25.5% เท่านั้น
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.