สัญญาณเตือนความเป็นไปได้ของการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ดังขึ้นเป็นระยะ ๆ
ด้วยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับวันที่จริง ที่รัฐบาลจะไม่สามารถชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ แม้ว่า นางเจเนต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ จะปักธง deadline 1 มิ.ย.นี้
แต่นั่นก็เป็นการคำนวณเพียงคร่าวๆ และก็ดูตื่นตัวกว่าที่สำนักงานงบประมาณรัฐสภาที่คาดการณ์ไว้ ว่าน่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 15 มิถุนายนเสียด้วยซ้ำ
ปัจจุบันเพดานหนี้กำหนดไว้ที่ 31.381 ล้านล้านดอลลาร์ ขีดจำกัดนี้ถูกละเมิดมาตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมแล้ว แต่ด้วยมาตรการพิเศษที่กระทรวงการคลังใช้ ทำให้สหรัฐยังคงสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายที่ผ่านมาได้
สถานการณ์ดังกล่าวกลับสร้างความกังวลมากขึ้น เมื่อมีการอัพเดตยอดเงินคงเหลือในวันที่ 10 พฤษภาคม มีเพียง 88,000 ล้านดอลลาร์เท่านั้น เมื่อเทียบกับ 110,000 ล้านดอลลาร์ในสัปดาห์ก่อนหน้า
เกมส์การเมืองยังคงดำเนินต่อไป เมื่อ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐนัดพูดคุยกับประธานสภา เควิน แมกคาธีร์ ในวันอังคารนี้ ก่อนมีกำหนดการเดินทางไปย่านเอเซียระหว่างวันที่ 17-24 พฤษภาคมนี้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G7 รวมถึงกิจกรรมอื่น ๆ ในภูมิภาค
แม้จะยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าแผนการขยายเพดานหนี้จะผ่านลุล่วงหรือไม่ แต่ ปธน.ไบเดนยังย้ำแผนเดินทางออกนอกประเทศเช่นเดิม
ในช่วงอดีตที่ผ่านมาสหรัฐยังไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ มีเพียงแต่ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ทางเทคนิคเท่านั้น และนั่นก็นำมาสู่การถูกลดอันดับเครดิตโดย S&P 1 ขั้น จาก AAA เป็น AA+ ขณะที่ Moody’s และ Fitch ปรับลด Outlook เพียงอย่างเดียวแต่คงอันดับไว้เช่นเดิม เป็น AAA Negative Outlook
ด้วยความที่ร่างกฎหมายฉบับล่าสุด เป็นการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐในช่วง 10 ปีข้างหน้า 4.8 ล้านล้านเพื่อแลกกับการขยายเพดานหนี้ในรอบนี้ 1.5 ล้านล้านให้เป็น 32.9 ล้านล้าน ซึ่งดูขัดแย้งกับความประสงค์ของคุณไบเดนโดยสิ้นเชิง เลยเป็นที่มาของการล้มโต๊ะเจรจามาโดยตลอด
ทางออกของเรื่องนี้ มีความเป็นไปได้หลายททาง และผลกระทบก็คงมีความแตกต่างกันออกไป คือ
1.ทางเลือกที่ดีที่สุด คือ สภาคองเกรสสามารถเพิ่มเพดานหนี้อย่างถาวร แต่หากมีเงื่อนไขการปรับลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐพ่วงมาด้วย ก็อาจจะบั่นทอนการขยายตัวในอนาคตเพิ่มขึ้นก็อาจจะต้องมาหักลบกระทบอีกครั้งหนึ่ง
2.ทางเลือกรองลงมาคือ ระงับเพดานชั่วคราว หรือ อาจจะอนุญาตให้รัฐบาลดำเนินการเกินเพดานหนี้โดยไม่ต้องเพิ่ม ซึ่งนั่นก็ต้องผ่านการลงคะแนนเสียงข้างมากในทั้งสองสภาของรัฐสภาสหรัฐมาแล้ว
แม้นักวิชาการ สถาบันการเงินชั้นนำ รวมถึงนักเศรษฐศาสตร์ จะมีการเตือนว่าการเจรจาที่ล้มเหลวอาจนำไปสู่การสูญเสียงานจำนวนมากในสหรัฐ ตลาดการเงินทั่วโลกอาจปั่นป่วน หรืออาจนำไปสู่สถานการณ์ที่คล้ายกับวิกฤต การณ์ทางการเงินในปี 2551 ซึ่งมีลักษณะเด่นคืออัตราดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น และราคาตราสารทุนที่ดิ่งลง
แต่ในอีกมุมลึก ๆ ก็ยังมีความเชื่อว่าท้ายที่สุดแล้วสหรัฐจะสามารถผ่านความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ไปได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีที่ 1 หรือ ที่ 2 หรือวิธีอื่น ๆ
นอกจากนี้ แต่สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็คือ กว่าจะมาถึง Deadline จริง ๆ หรือจะมาถึงการตัดสินใจเลือกวิธีแก้ปัญหาในข้อ 1 หรือ ข้อ 2 นั้น ที่ผ่านมาก็มักจะทำให้เกิดการ Shutdown หน่วยงานภาครัฐขึ้น และนั่นก็อีกหนึ่งผลกระทบที่ตลาดการเงินมักได้ก่อนฟ้าจะสดใสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็เป็นได้
Comments are closed.