คำแนะนำ :
ยังมีลุ้นที่ราคาทดสอบแนวต้านโซนที่ 1,781-1,787 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ให้ดูแรงซื้อแรงขายในช่วงนี้เพื่อประกอบการตัดสินใจ หากไม่ผ่านแนะนำเปิดสถานะขายทำกำไรระยะสั้น โดยประเมินแนวรับโซน 1,761-1,749 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ : 1,761 1,749 1,733 แนวต้าน : 1,787 1,803 1,826
สรุป
ราคาทองคำวันศุกร์ที่ผ่านมาปิดปรับตัวลดลง 9.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์ พร้อมปิดตลาดในรายสัปดาห์ด้วยการดิ่งลงมากถึง -6% เป็นสัปดาห์ที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่มี.ค.ปี 2020 โดยตลอดทั้งสัปดาห์ราคาทองคำได้รับแรงกดดันจากผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ประจำเดือนมิ.ย.ที่มีการส่งสัญญาณเตรียมชะลอการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
ทั้งในแง่ของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 2 ครั้งในปี 2023 รวมถึงเริ่มต้นหารือเกี่ยวกับการปรับลดวงเงิน QEตอกย้ำแนวโน้มดังกล่าวด้วยความเห็นของนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ ที่กล่าวกับ CNBC ในวันศุกร์คาดว่า “เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในปีหน้า เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้”
ส่งผลให้นักลงทุนปรับเพิ่มการคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปี 2022 สะท้อนจากสัญญา Eurodollar Futures ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในตลาด บ่งชี้ว่าตลาดเห็นถึงโอกาส 100% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนธ.ค. 2022 และมีโอกาส 100% ที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งภายในปี 2023
สถานการณ์ดังกล่าวหนุนดัชนีดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้น 0.46% ในวันศุกร์แตะระดับสูงสุดที่ 92.405 สูงสุดตั้งแต่กลางเดือนเม.ย. พร้อมปิดรายสัปดาห์ด้วยการแข็งค่าขึ้น 2% ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดในรอบ 14 เดือน ส่งผลกดดันให้ราคาทองคำร่วงลงทำระดับต่ำสุดบริเวณ 1,761.13 ดอลลาร์ต่อออนซ์
อย่างไรก็ดี กองทุน SPDR ถือครองทองเพิ่ม +11.07 ตันในวันศุกร์ซึ่งเป็นการถือครองทองคำเพิ่มมากสุดนับตั้งแต่ 15 ม.ค. และสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของปีนี้ สำหรับวันนี้ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ แต่แนะนำติดตามถ้อยแถลงของนายจอห์น วิลเลียมส์ ประธานเฟดนิวยอร์ก
ข่าวสารประกอบการลงทุน :
- (+) CDC เตือนไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลตาจะเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐ แพทย์หญิงโรเชล วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (CDC) เปิดเผยว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นไวรัสสายพันธุ์หลักในสหรัฐ แทนที่ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) ในขณะนี้
- อย่างไรก็ดี แพทย์หญิงวาเลนสกีกล่าวว่า วัคซีนในปัจจุบันยังคงสามารถป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาได้ แต่ต้องมีการฉีดครบ 2 โดส ทั้งนี้ ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาสามารถแพร่ระบาดได้เร็วกว่าถึง 40-50% เมื่อเทียบกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อัลฟา
- (+) ดาวโจนส์ปิดร่วง 533.37 จุด วิตกเฟดขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (18 มิ.ย.) และร่วงลงรุนแรงที่สุดในรอบสัปดาห์นี้นับตั้งแต่เดือนต.ค. 2563 เนื่องจากนักลงทุนพากันเทขายหุ้นออกมาท่ามกลางความวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
- ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,290.08 จุด ร่วงลง 533.37 จุด หรือ -1.58%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,166.45 จุด ลดลง 55.41 จุด หรือ -1.31% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,030.38 จุด ลดลง 130.97 จุด หรือ -0.92%
- (+) ผู้นำคิมสั่งรัฐบาลเปียงยางเตรียมพร้อมสำหรับความสัมพันธ์ “แบบเผชิญหน้า” กับสหรัฐฯรอบใหม่ ผู้นำเกาหลีเหนือนายคิม จอง อึน สั่งให้รัฐบาลเปียงยางเตรียมตัวสำหรับความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดี โจ ไบเดนทั้งในรูปแบบการพูดคุยเจรจาและการเผชิญหน้า แต่เขายำ้ถึงความเป็นไปได้ที่จะเผชิญหน้ามากกว่า
- ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นตามรายงานข่าวของสื่อทางการเกาหลีเหนือ เเละเกิดขึ้นหลังจากที่อเมริกาและประเทศต่างๆเรียกร้องให้เกาหลีเหนือยกเลิกโครงการนิวเคลียร์และกลับมาเจรจาอีกครั้งหนึ่ง ส่วนทางการจีนกล่าวว่า ควรมีการื้นฟื้นการเจรจาระหว่างสหรัฐฯและเกาหลีเหนือด้วยเช่นกัน
- (-) ปธ.เฟดเซนต์หลุยส์ช็อกตลาด หลังคาดเฟดอาจขึ้นดบ.ปีหน้า นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ กล่าวว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในปีหน้า
- ทั้งนี้ นายบูลลาร์ดเป็นกรรมการเฟด 1 ใน 7 รายที่คาดว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่จะดำเนินไปอย่างยาวนาน “ผมคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปลายปีหน้าเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่จะพุ่งแตะ 3% ในปีนี้ และจะอยู่ที่ 2.5% จนถึงปี 2565 โดยสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของเฟด” นายบูลลาร์ดกล่าว
- นายบูลลาร์ดระบุว่า การที่เฟดส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาดในสัปดาห์นี้ ถือเป็นการรับมือตามปกติต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ ขณะที่สหรัฐทำการเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากประกาศล็อกดาวน์ก่อนหน้านี้จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
- (-) อังกฤษเผยยอดค้าปลีกลดลง 1.4% ในเดือนพ.ค. สวนทางคาดการณ์ สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกลดลง 1.4% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้น 1.6% นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งมีการพบครั้งแรกในอินเดีย จะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนในช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้า
- (-) ดอลล์แข็งค่า ขานรับคาดการณ์เฟดจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (18 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
- ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.39% แตะที่ 92.2262 เมื่อคืนนี้ ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9217 ฟรังก์สวิส จากระดับ 0.9171 ฟรังก์สวิส และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2425 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2351 ดอลลาร์แคนาดา
- แต่ดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 110.14 เยน จากระดับ 110.24 เยน ส่วนยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1872 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1914 ดอลลาร์, เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3817 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3925 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7499 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7553 ดอลลาร์สหรัฐ
- (+/-) ไบเดนเร่งชาวมะกันฉีดวัคซีนโควิด หวั่นพลาดเป้าฉีดครบ 70% ภายใน 4 ก.ค. ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐเรียกร้องในวันศุกร์ (18 มิ.ย.) ให้ชาวอเมริกันเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เนื่องจากทำเนียบขาวมีแนวโน้มที่จะพลาดเป้าหมายที่กำหนดไว้ในเดือนหน้า ขณะที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ทำให้เกิดความวิตกอย่างมาก
- ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนที่อัตราปัจจุบันในสหรัฐดูเหมือนไม่มีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายของปธน.ไบเดนที่จะฉีดวัคซีนโควิดอย่างน้อย 1 โดสให้กับผู้ใหญ่ราว 70% ภายในวันที่ 4 ก.ค.ซึ่งเป็นวันชาติของสหรัฐ ณ วันศุกร์ที่ 18 มิ.ย. ประชาชนราว 65.1% ในสหรัฐได้รับวัคซีนโควิดแล้วอย่างน้อย 1 โดส
- และการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 1% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ข้อมูลจากทำเนียบขาวระบุว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 175 ล้านคนได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส และ 55% ของประชากรวัยผู้ใหญ่ได้รับวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว
ขอขอบคุณ : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.