Gold Around
ราคาทองคำ ข่าวสารและแนวโน้มราคาทองคำวันนี้

บทวิเคราะห์ราคาทองคำ 6 ม.ค.65 by YLG

- Advertisement -

207

- Advertisement -

คำแนะนำ       เปิด/ถือสถานะซื้อ 1,805-1,798

จุดทำกำไร     ขายทำกำไร $1,829-1,831

ตัดขาดทุน     ตัดขาดทุนสถานะซื้อหากหลุด $1,798

แนวรับ : 1,798 1,783 1,767  แนวต้าน : 1,813 1,844 1,859

สรุป  

- Advertisement -

ราคาทองคำวานนี้ปรับตัวลดลง  4.30 ดอลลาร์ต่อออนซ์  แม้ว่าระหว่างวันราคาทองคำจะพุ่งขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากการปรับฐานของดัชนีดอลลาร์  ซึ่งส่งผลให้ราคาทองคำทะลุผ่านระดับสูงสุดของวันก่อนหน้า  จนกระทั่งเกิดแรงซื้อตามทางเทคนิคดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อทดสอบระดับสูงสุดบริเวณ 1,829.56 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ก่อนที่จะเริ่มเกิดแรงขายทำกำไรสลับออกมาหลังจากที่ราคาทองคำเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป(Overbought) แต่ราคาทองคำเริ่มปรับตัวลงแรง  หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)เปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินประจำเดือนธ.ค.ที่บ่งชี้ว่า  ตลาดแรงงานของสหรัฐอยู่ใน “ภาวะตึงตัวอย่างมาก” ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับลดการถือครองสินทรัพย์(ลดขนาดงบดุล)ทั้งหมดด้วย เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ  รายงานดังกล่าวกระตุ้นการคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. สะท้อนจากเครื่องมือ FedWatch ของ CME Group ที่บ่งชี้ว่า  ความน่าจะเป็นที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้นเป็นราว 80% ซึ่งส่งผลหนุนให้ดัชนีดอลลาร์ฟื้นตัวลดช่วงติดลบ  พร้อมกับหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปีและ 5 ปีให้ไต่ขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.และก.พ. ปี 2020 ตามลำดับ  ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีของสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2021 เช่นกัน จนเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ราคาทองคำดิ่งลงทดสอบระดับต่ำสุดบริเวณ 1,808.25  ดอลลาร์ต่อออนซ์  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำลดลง  0.32 ตัน  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน, ISM เปิดเผยดัชนี PMI ภาคการบริการ  และยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) แพทย์ใหญ่ทำเนียบขาวเตือนสหรัฐอย่าประมาทไวรัสโอมิครอน  นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาว กล่าวว่า สหรัฐไม่ควรประเมินไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนต่ำเกินไป แม้ไวรัสดังกล่าวมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุก่อนหน้านี้ว่า มีหลักฐานมากขึ้นที่แสดงว่าไวรัสโอมิครอนส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบนเท่านั้น ซึ่งทำให้ไวรัสดังกล่าวมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่น  นายแพทย์เฟาชีกล่าวว่า “แม้ไวรัสโอมิครอนจะมีความรุนแรงไม่มากนัก แต่ก็มีความสามารถแพร่ระบาดมากกว่าสายพันธุ์อื่น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบสาธารณสุข ทำให้โรงพยาบาลไม่มีจำนวนเตียงเพียงพอในการรองรับผู้ป่วยจำนวนมาก และทำให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงในที่สุด”
  • (+) ดอลล์อ่อนเทียบยูโร,ปอนด์ ตลาดจับตาตัวเลขจ้างงานสหรัฐ  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและปอนด์ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (5 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากดอลลาร์พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดี ดอลลาร์ลดช่วงลบ หลังจากรายงานการประชุมเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้  ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.10% แตะที่ 96.1674 เมื่อคืนนี้  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1312 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1289 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.3560 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3535 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.7223 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7241 ดอลลาร์สหรัฐ  ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 116.13 เยน จากระดับ 116.11 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9173 ฟรังก์ จากระดับ 0.9162 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2755 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2705 ดอลลาร์แคนาดา
  • (+) ดาวโจนส์ปิดร่วง 392.54 จุด หลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด  ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเกือบ 400 จุดในวันพุธ (5 ม.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ดิ่งลงรุนแรงที่สุดในรอบ 11 เดือน หลังจากรายงานการประชุมเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค.ของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,407.11 จุด ลดลง 392.54 จุด หรือ -1.07%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,700.58 จุด ลดลง 92.96 จุด หรือ -1.94% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,100.17 จุด ลดลง 522.54 จุด หรือ -3.34%
  • (-) ดัชนี PMI ภาคบริการสหรัฐต่ำสุดรอบ 3 เดือนในธ.ค. ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 57.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 58.0 ในเดือนพ.ย.  ดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานในภาคบริการ ส่งผลให้การจ้างงานชะลอตัว
  • (-) ADP เผยการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐพุ่งเกินคาดในเดือนธ.ค.  ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 807,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2564 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 375,000 ตำแหน่ง จากระดับ 505,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย.  ภาคบริการมีการจ้างงาน 669,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค.
  • (-) คาดสหรัฐจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มกว่า 400,000 ตำแหน่ง หลังวูบหนักในเดือนพ.ย.  นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)  นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 422,000 ตำแหน่งในเดือนธ.ค. และอัตราว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.1%  ก่อนหน้านี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 210,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 581,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.2% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.5%
  • (-) อิตาลีติดโควิดวันเดียวทำนิวไฮเกือบ 190,000 ราย ดันยอดรวมทะลุ 6.7 ล้านราย  กระทรวงสาธารณสุขอิตาลีเปิดเผยในวันนี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่พุ่งขึ้นสู่ระดับ 189,109 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดในช่วงต้นปี 2563  นอกจากนี้ ผู้เสียชีวิตรายใหม่มีจำนวน 231 ราย ลดลงจากที่รายงานวานนี้ที่ระดับ 259 ราย  ขณะนี้ อิตาลีมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมกว่า 6.76 ล้านราย และเสียชีวิตมากกว่า 138,000 ราย

ขอขอบคุณ  : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

- Advertisement -

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More