Gold Around
ราคาทองคำ ข่าวสารและแนวโน้มราคาทองคำวันนี้

บทวิเคราะห์ราคาทองคำวันนี้ 29 ธ.ค.63 (YLG)

- Advertisement -

296

- Advertisement -

คำแนะนำ :

เก็งกำไรระยะสั้น โดยอาจต้องพิจารณาโซน 1,869-1,866 ดอลลาร์ต่อออนซ์เป็นจุดซื้อ อย่างไรก็ตามหากราคาปรับตัวขึ้นไปและไม่สามารถยืนเหนือ 1,900-1,907 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อาจเลือกแบ่งปิดสถานะซื้อเพื่อทำกำไร

แนวรับ : 1,866 1,852 1,839  แนวต้าน : 1,907 1,921 1,933

สรุป

ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวลดลง 5.75 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนในกรอบ 30 ดอลลาร์ต่อออนซ์  โดยราคาทองคำทะยานขึ้นหลังมีรายงานว่า  ประธานาธิบดีทรัมป์ยอม “ลงนาม” ในร่างกฎหมายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลังรอบใหม่เพื่อเยียวผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 และร่างงบประมาณรายจ่ายวงเงินรวม 2.3 ล้านล้านดอลลาร์  ซึ่งปัจจัยนี้หนุนให้สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าพร้อมกับผลักดันให้ราคาทองคำทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดบริเวณ 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์  ก่อนที่แรงขายทำกำไรจะกดดันให้ราคาทองคำร่วงลง  นอกจากนี้  ราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันจากการทะยานขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก  ซึ่งกดดันให้เกิดแรงขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มเติม  ประกอบกับเกิดแรงขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน  จึงหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีให้เพิ่มขึ้น  จนกดดันทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยอีกด้วย  ปัจจัยดังกล่าวกดดันให้ราคาดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดบริเวณ 1,869 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างวัน  แม้จะมีการฟื้นตัวกลับอีกครั้งในช่วงตลาดสหรัฐ  แต่แรงขายทำกำไรและการฟื้นตัวของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยที่กดดันให้ราคาทองคำร่วงลงมาปิดตลาดในแดนลบในท้ายที่สุด  ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองคำเพิ่ม +2.33 ตัน  สำหรับวันนี้ติดตามการเปิดเผยดัชนีราคาบ้านโดย S&P/CS  รวมถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการผลักดันการเพิ่มวงเงินในเช็คเงินสดเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็น 2,000 ดอลลาร์  หลังจากสภาผู้แทนราษฎรเพิ่งอนุมัติเรื่องดังกล่าวและได้ส่งต่อให้กับวุฒิสภาทำการพิจารณาเป็นลำดับต่อไป

- Advertisement -

ข่าวสารประกอบการลงทุน :

  • (+) “จอห์น ฮอปกินส์” เผยโควิด-19 คร่าชีวิตชาวอเมริกัน 1 ใน 1,000  ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ระบุว่า ชาวอเมริกัน 1 ใน 1,000 ได้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19  ขณะนี้ ชาวอเมริกันได้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า 333,000 ราย ซึ่งเป็นจำนวนมากที่สุดในโลก  นอกจากนี้ ตัวเลขเฉลี่ยรอบ 7 วันจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ระบุว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 2,200 รายได้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในแต่ละวัน
  • (+) สภาผู้แทนฯสหรัฐไฟเขียวเพิ่มวงเงินจ่ายเช็คช่วยเหลือปชช.ตามข้อเรียกร้องทรัมป์  สภาผู้แทนราษฏรสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 275 ต่อ 134 อนุมัติการเพิ่มวงเงินในเช็คเงินสดเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็น 2,000 ดอลลาร์ จากเดิม 600 ดอลลาร์ หลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้กับวุฒิสภาทำการอนุมัติเป็นลำดับต่อไป  การเพิ่มวงเงินในเช็คเงินสดที่จะส่งตรงถึงประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นั้น เป็นไปตามคำเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ขู่ว่า เขาจะไม่ลงนามในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์ หากสภาคองเกรสไม่เพิ่มวงเงินช่วยเหลือประชาชนจาก 600 ดอลลาร์ เป็น 2,000 ดอลลาร์
  • (+) ดอลล์อ่อน นลท.ขายสกุลเงินปลอดภัยหลังทรัมป์ลงนามกระตุ้นศก.  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (28 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย หลังมีข่าวว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ  ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.01% แตะที่ 90.3400 เมื่อคืนนี้  ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8896 ฟรังก์ จากระดับ 0.8903 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2842 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2869 ดอลลาร์แคนาดา แต่เมื่อเทียบกับเงินเยน ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 103.83 เยน จากระดับ 103.57 เยน  ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2206 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2179 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3444 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3548 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7576 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7599 ดอลลาร์สหรัฐ
  • (-) ไวรัสกลายพันธุ์พ่นพิษ ทำอังกฤษติดโควิดรายใหม่กว่า 41,000 รายในวันเดียว  กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษเปิดเผยว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่จำนวน 41,385 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่งขึ้นเป็น 2,329,730 ราย
  • (-) สื่อเผย 9 ประเทศทั่วโลกฉีดวัคซีนโควิดแล้วมากกว่า 4.4 ล้านโดส  สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ขณะนี้กระบวนการฉีดวัคซีนครั้งใหญ่ที่สุดในโลกได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยประชาชนใน 9 ประเทศทั่วโลกได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 คิดเป็นจำนวนมากกว่า 4.4 ล้านโดส  ทั้งนี้ สหรัฐเป็นประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 มากที่สุดในโลก โดยในขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ทำการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนจำนวน 1.94 ล้านโดส หลังจากที่เริ่มมีการฉีดวัคซีนให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในวันที่ 14 ธ.ค. นอกจากนี้ ในสัปดาห์นี้ สหรัฐจะทำการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคจำนวน 5.1 ล้านโดส และวัคซีนของโมเดอร์นาจำนวน 6 ล้านโดส
  • (-) อินเดียคาดอังกฤษไฟเขียววัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในไม่ช้า  สถาบันเซรั่มแห่งอินเดีย (SII) ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าซึ่งพัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด เปิดเผยว่า SII คาดว่ารัฐบาลอังกฤษและอินเดียจะให้การอนุมัติต่อวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าในไม่ช้า  “เราจะได้ข่าวดีจากอังกฤษในไม่ช้า และหลังจากนั้นอินเดียก็จะให้การอนุมัติ ซึ่งจะทำให้เรามีวัคซีนใช้ในเดือนม.ค.” นายอาดาร์ ปูนาวัลลา ประธาน SII กล่าว
  • (-) ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 204.10 จุด ทำนิวไฮ ขานรับทรัมป์ลงนามกระตุ้นศก.  ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ (28 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮเช่นกัน ขานรับข่าวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ โดยปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มเรือสำราญพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากมาตรการฉบับนี้ครอบคลุมถึงการให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,403.97 จุด เพิ่มขึ้น 204.10 จุด หรือ +0.68% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,735.36 จุด เพิ่มขึ้น 32.30 จุด หรือ +0.87% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,899.42 จุด เพิ่มขึ้น 94.69 จุด หรือ +0.74%

ขอขอบคุณ : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)

- Advertisement -

Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More