- Advertisement -

ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำร่วงลงกว่า 33 ดอลลาร์ ปัจจัยหลักมาจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ระบุว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ “ตึงตัว” และปัญหาเงินเฟ้อ อาจทำให้ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น และลดงบดุล

แต่นักวิเคราะห์จาก วอลล์สตรีทบางคนชี้ว่า มุมมองนี้อาจล้าสมัยไปแล้ว เมื่อพิจารณาจากการเพิ่มขึ้นจากผู้ติดเชื้อไวรัส โควิด “Omicron” ในเดือน ธันวาคม และ มกราคม

Bart Melek หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ระดับโลกของ TD Securities กล่าวกับ Kitco News ว่า “Omicron กำลังสร้างผลกระทบซึ่งจะเห็นในข้อมูลการจ้างงาน” โดยการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 199,000 คน ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 400,000 ราย

ข้อมูลเดือน พ.ย. ได้ปรับเพิ่มถึง 249,000 ตำแหน่ง ในขณะเดียวกัน อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ลดลงมาที่ 3.9% เหนือกว่าที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 4.1%

- Advertisement -

หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ระดับโลกของ TD Securities มองว่า การจ้างงานจะอ่อนแอ และยังคงมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ทำให้ทองคำยังคงสามารถฟื้นตัวได้เล็กน้อยในไตรมาสที่ 1 อีกประมาณ 40-50 ดอลลาร์

แต่หลังจากนั้น ทองคำมีแนวโน้มจะลดลง เพราะตลาดเชื่อว่าเฟดจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างเข้มงวด แต่ความเห็นสวนตัวแล้ว ไม่แน่ใจนักว่าเฟดจะทำได้”

ขณะที่ Edward Moya นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสของ OANDA กล่าวว่า ทองคำมีสัปดาห์ที่แย่ แต่มันอาจจะแย่กว่านี้มากเมื่อคุณพิจารณาว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นจาก 1.53% เป็น 1.75% พร้อมมองว่า ที่ระดับราคา 1,770 ดออลาร์ ต่อออนซ์ เป็นแนวรับที่ดีสำหรับทองคำในสัปดาห์นี้

สำหรับข้อมูลที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดของสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดจะเผยแพร่ในวันพุธ โดยตลาดคาดว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธ.ค. จะเพิ่มขึ้นเป็น 7% ซึ่งใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี ซึ่งอาจจะยิ่งกดดันให้เฟดเริ่งขึ้นดอกเบี้ย

นอกจากนั้น ยังต้องติดตามตัวเลข PPI ของสหรัฐอเมริกาและการขอรับสวัสดิการว่างงานในวันพฤหัสบดี และวันศุกร์ จะมีอีกตัวเลขสำคัญ คือ ยอดขายปลีกในสหรัฐฯ

- Advertisement -