มาติดตามผลการประชุม คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ครั้งสุดท้ายในปีนี้ ซึ่งได้เสร็จสิ้นไปเมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมาตามเวลาในประเทศไทย โดยที่ประชุม มีมติเป็นเอกฉันท์ในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% และจะเพิ่มการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ จากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือน ม.ค.2565 ซึ่งจะส่งผลให้เฟด ยุติการทำ QE ในเดือนมี.ค.2565
ทั้งนี้ผลการประชุมครั้งนี้สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดีเฟดยังได้ระบุว่าพร้อมที่จะปรับอัตราการซื้อสินทรัพย์ หากพบว่าแนวโน้มเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป
ส่วนการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2565 และจำนวน 2 ครั้งในปี 2566 และอีก 2 ครั้งในปี 2567
ขณะเดียวกัน เฟดได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 5.5% และปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของปี 2565 สู่ระดับ 4.0% และปรับลดตัวเลขคาดการณ์ในปี 2566 สู่ระดับ 2.2% และคงตัวเลขคาดการณ์ในปี 2567 ที่ระดับ 2.0% ส่วนอัตราการขยายตัวในระยะยาวอยู่ที่ระดับ 1.8%
ตัวเลขคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในปีนี้ เฟด ยังคงไว้ที่ระดับ 0.13% และปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในปี 2565-2567 สู่ระดับ 0.88%, 1.63% และ 2.13% ตามลำดับ และคงตัวเลขคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่ระดับ 2.5%
ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปี 2564-66 เฟดได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์สู่ระดับ 5.3%, 2.6% และ 2.3% ตามลำดับ และคงตัวเลขคาดการณ์ในปี 2567 ที่ระดับ 2.1% ขณะที่คงตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะยาวอยู่ที่ระดับ 2.0%
นอกจากนี้ เฟดปรับลดตัวเลขคาดการณ์อัตราว่างงานในปี 2564-2565 สู่ระดับ 4.3% และ 3.5% ตามลำดับ ขณะที่คงตัวเลขคาดการณ์ในปี 2566-2567 ที่ระดับ 3.5% และคงตัวเลขคาดการณ์อัตราว่างงานในระยะยาวที่ระดับ 4.0%
หลังการแถลงของ ประธานเฟด ทำให้ราคาหุ้นสหรัฐ และทองคำพุ่งขึ้น จากระดับต่ำสุดที่ระดับ 1,753 ดอลลาร์ มาแตะที่ระดับ 1,782 ดอลลาร์
ส่วนผลกระทบจาก ไวรัส โควิด สายพันธุ์ “Omicron” นั้น ปธ.เฟด ระบุว่ายังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก แต่ถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.