ตลาดทองคำ ได้ถอนหายใจโล่งอก หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เพราะอาจเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับทองคำ
George Milling-Stanley, chief market strategist at State Street Global Advisors ให้สัมภาษณ์กับ Kitco New ว่า
การร่วงลงของราคาทองคำ หลุด 1,700 ดอลลาร์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เป็นการเคลื่อนไหวที่เกินจริง พร้อมมองว่า การกลับตัวไปยืนเหนือ 1,750 ดอลลาร์ ได้ ถือว่าเป็นจุดที่ยุติธรรม
พร้อมระบุว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น และความวุ่นวายทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง จะยังคงสนับสนุนราคาทองคำต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดการใช้นโนบายการเงินที่เข้มงวด
Milling-Stanley กล่าวเสริมว่า ไม่แปลกใจที่ราคาทองคำพุ่งขึ้น 2% ในวันรุ่งขึ้น หลัง เฟดตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย
พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงคำพูดของ นาย เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ที่ย้ำเตือนว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุก จะขึ้นอยู่กับข้อมูลในอนาคต และ เฟดเตรียมชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจตอบสนองต่อนโยบายการเงินที่ก้าวร้าว
แม้ว่าจะเหลืออีก 2 เดือน ก่อนการประชุม FOMC ครั้งถัดไป ซึ่งจะมีข้อมูลหลั่งไหลเข้ามาให้พิจารณาเป็นจำนวนมาก แต่คาดว่า เฟด อาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยแค่ 0.50% เท่านั้น และ อาจลดลงได้อีกใน เดือน ต.ค.
Milling-Stanley มองว่า ตลาดกำลังจับตามองผลกระทบจากการชะลอของเศรษฐกิจมากกว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอ่อนค่าลง ในเวลาเดียวกัน แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้ ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ทั้งหมด และทองคำจะทำได้ดีเมื่อนักลงทุนแสวงหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
Milling-Stanley มองว่า ราคาทองคำจะสามารถเคลื่อนไหวในกรอบ 1,800 ถึง 2,000 ดอลลาร์ ในปีนี้ และยังมีโอกาสที่ทองคำจะสามารถสิ้นปีที่สูงกว่า 2,000 ดอลลาร์ ได้ โดยได้แรงหนุนจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจระดับมหภาค ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมมองว่าราคาทองคำจะขยับขึ้นไม่ช้าก็เร็ว
ที่มา : Kitco.com
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.