Gold Around
ราคาทองคำ ข่าวสารและแนวโน้มราคาทองคำวันนี้

บทวิเคราะห์ราคาทองคำวันนี้ 14 ก.ย.63 (HGF)

- Advertisement -

0 525

- Advertisement -

สัปดาห์ที่ผ่านมากองทุน SPDRขายทองคำ2.04 ตัน

สัปดาห์นี้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ

แนวโน้มราคาทองคำคาดเคลื่อนไหว Sideways up

  • สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำ Spotปรับลดลงเข้าใกล้ 1,900 ดอลลาร์เนื่องจากเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ แต่เริ่มมีแรงซื้อทองคำกลับเข้ามาและฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่องทำจุดสูงสุดที่ 1,966 ดอลลาร์ในวันพฤหัส เนื่องจากจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐสูงกว่าตลาดคาด การประชุมธนาคารกลางยุโรปมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% และคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ที่ระดับ 1.35 ล้านล้านยูโรจนถึงเดือนมิ.ย.2564 ทางด้านกองทุน SPDRGold Trust ขายทองคำ2.04 ตันในสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งขายทองคำ4.96ตันในวันศุกร์
  • สัปดาห์นี้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐการแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ รวมทั้งรายงานประมาณการเศรษฐกิจสหรัฐคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในการใช้นโยบายการเงินเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย นอกจากนี้ติดตามการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น และประเด็นการแยกตัวของอังกฤษออกจาก EU (Brexit)
  • แนวโน้มราคาทองคำคาดเคลื่อนไหวSideways up โดยมีแนวต้าน 1,950 ดอลลาร์ ถ้าผ่านขึ้นไปได้จะมีแนวต้านถัดไปที่ 1,966 ดอลลาร์ ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1,920 ดอลลาร์และ1,906 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลก

- Advertisement -

Closechg.SupportResistance
1,939.40-6.21,920/1,9061,950/1,966

ราคาทองแท่ง 96.5%

Closechg.SupportResistance
28,700-15028,450/28,30028,850/29,050

โกลด์ฟิวเจอร์ส

ClosechgSupportResistance
29,020-5028,650/28,47029,050/29,240

- Advertisement -

สำหรับนักลงทุนที่ซื้อไว้แนะนำขายทำกำไรที่ราคาทอง Spot 1,950 ดอลลาร์ (GF 29,050บาท)

การลงทุนในทองแท่ง แนะนำทยอยซื้อสะสมที่ราคาทองคำ Spot 1,900-1,920 ดอลลาร์

เงินบาท

ทิศทางเงินบาทในวันนี้คาดเคลื่อนไหวในกรอบ31.20-31.40 บาท/ดอลลาร์สัปดาห์นี้ติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC)และการชุมนุมทางการเมืองในประเทศ ซึ่ง USD Futures เดือนก.ย.63คาดจะมีแนวรับที่ 31.20 บาท/ดอลลาร์ ขณะที่มีแนวต้านที่ 31.40บาท/ดอลลาร์

News

ตลาดการเงินต่างประเทศ:ดอลล์อ่อนค่าเล็กน้อยนลท.ปรับตัวรับCPI สหรัฐเพิ่มขึ้นเกินคาด

ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 ก.ย.) ขณะที่นักลงทุนปรับตัวรับสหรัฐเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้นเกินคาดดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงินลดลง 0.01% แตะที่ 93.3330 เมื่อคืนนี้

ตลาดโลหะมีค่าต่างประเทศ:ทองปิดร่วง $16.4 เหตุนลท.ขายทำกำไร

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขายสัญญาทองคำออกมาเพื่อทำกำไรหลังจากปรับตัวขึ้นในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมาและยังถูกกดดันจากการที่สหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีเกินคาดสัญญาทองคำตลาดCOMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 16.4 ดอลลาร์หรือ 0.83% ปิดที่ 1,947.9ดอลลาร์/ออนซ์แต่ปรับตัวขึ้น 0.7% ในรอบสัปดาห์นี้สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 43.4 เซนต์หรือ 1.59% ปิดที่ 26.857 ดอลลาร์/ออนซ์

ตลาดน้ำมันดิบต่างประเทศ:น้ำมันWTI ปิดบวกเล็กน้อยสต็อกเพิ่ม-อุปสงค์ลดถ่วงตลาด

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 ก.ย.) ขณะที่ตลาดยังคงถูกกดดันจากการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐที่เพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้วซึ่งสวนทางตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์และนักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันที่อ่อนแอท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  สัญญาน้ำมันดิบWTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 3 เซนต์หรือ 0.08% ปิดที่ 37.33 ดอลลาร์/บาร์เรลสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง 23 เซนต์หรือ 0.6% ปิดที่ 39.83 ดอลลาร์/บาร์เรลในรอบสัปดาห์นี้สัญญาน้ำมันดิบWTI ลดลง 6.1% และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลง 6.6%

ตลาดหุ้นต่างประเทศ:ดาวโจนส์ปิดบวก 131.06 จุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม-การเงินหนุนตลาด

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (11 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มการเงินขณะที่ดัชนีNasdaq และS&P500 ปิดตลาดแทบไม่เปลี่ยนแปลงหลังหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นกลุ่มเติบโตปรับตัวลงแต่ดัชนีหุ้นทั้ง 3 ตัวต่างก็ปิดตลาดปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,665.64 จุดเพิ่มขึ้น 131.06 จุดหรือ +0.48%, ดัชนีS&P500 ปิดที่ 3,340.97 จุดเพิ่มขึ้น 1.78 จุดหรือ +0.05% และดัชนีNasdaq ปิดที่ 10,853.55 จุดลดลง 66.05 จุดหรือ -0.60%   ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนีดาวโจนส์ลดลง 1.7%, ดัชนีS&P500 ลดลง 2.5% และดัชนีNasdaq ลดลง 4.1%

อียูเตรียมฟ้องศาลหลังคว้าน้ำเหลวเจรจาอังกฤษละเมิดข้อตกลงBrexit

การเจรจาฉุกเฉินระหว่างสหภาพยุโรป (EU) และอังกฤษได้สิ้นสุดลงแล้วโดยทั้งสองฝ่ายยังคงไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาการเจรจาดังกล่าวมีขึ้นเนื่องจากEU มีความไม่พอใจต่อการที่นายบอริสจอห์นสันนายกรัฐมนตรีอังกฤษกำลังผลักดันร่างกฎหมายInternal Market Bill ให้ผ่านการอนุมัติจากรัฐสภาอังกฤษแม้ว่าร่างกฎหมายดังกล่าวมีเนื้อหาที่ขัดต่อข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ที่อังกฤษได้ทำไว้กับEU ก่อนหน้านี้นายมารอสเซฟโควิชรองประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของEU ได้ทำการเจรจากับนายไมเคิลโกฟรัฐมนตรีประจำสำนักคณะรัฐมนตรีอังกฤษที่กรุงลอนดอนในวันนี้ขณะที่นายมิเชลบาร์นิเยร์หัวหน้าผู้แทนการเจรจาการค้าฝ่ายEU ได้จัดการเจรจากับนายเดวิดฟรอสผู้แทนการเจรจาฝ่ายอังกฤษทั้งนี้ฝ่ายEU ได้แจ้งให้อังกฤษยกเลิกร่างกฎหมายInternal Market Bill แต่นายโกฟปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามโดยระบุว่าร่างกฎหมายInternal Market Bill มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความชัดเจนต่อประเด็นที่ยังคงมีความกำกวมในข้อตกลงการแยกตัวออกจากEUหลังจากที่การเจรจาประสบความล้มเหลวในวันนี้ทางEU ก็เตรียมพิจารณายื่นฟ้องต่อศาลเพื่อให้มีการลงโทษอังกฤษภายใต้เงื่อนไขBrexitทั้งอังกฤษและEU จะต้องบรรลุข้อตกลงการค้าภายในสิ้นปีนี้ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลงก็จะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายต่อการค้าระหว่างอังกฤษและEU ในช่วงเริ่มต้นปี2564และจะซ้ำเติมเศรษฐกิจซึ่งในขณะนี้ได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

วุฒิสภาสหรัฐคว่ำแผนเยียวยารอบใหม่เหตุสองพรรคยังขัดแย้งหลายประเด็น

วุฒิสภาสหรัฐคว่ำแผนเยียวยาผลกระทบโควิด-19รอบใหม่ที่นำเสนอโดยพรรครีพับลิกันโดยทั้งสองฝ่ายยังคงมีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับขนาดและขอบข่ายของมาตรการดังกล่าวรายงานระบุว่าวุฒิสมาชิกทุกคนของพรรคเดโมแครตและวุฒิสมาชิก1คนของพรรครีพับลิกันคือนายแรนพอลได้คัดค้านร่างมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19ทำให้วุฒิสภามีคะแนนเสียงไม่ถึง60เสียงซึ่งจำเป็นต่อการผลักดันร่างมาตรการดังกล่าวในสภาสูงโดยคะแนนโหวตในครั้งนี้คือ52ต่อ47เสียงหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ระบุว่าร่างมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ที่พรรครีพับลิกันนำเสนอนั้นประกอบไปด้วยงบประมาณการใช้จ่ายราว6.50แสนล้านดอลลาร์โดยในจำนวนนี้เป็นงบประมาณที่ขอเพิ่มใหม่3แสนล้านดอลลาร์ส่วนอีก3.50แสนล้านดอลลาร์เป็นงบประมาณการใช้จ่ายที่ได้รับอนุมัติแล้วก่อนหน้านี้นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการขยายมาตรการให้ความช่วยเหลือคนว่างงานซึ่งหมดอายุลงแล้วตั้งแต่วันที่31ก.ค.ที่ผ่านมาโดยพรรครีพับลิกันต้องการลดวงเงินช่วยเหลือคนว่างงานลงสู่ระดับ300ดอลลาร์ต่อสัปดาห์แต่พรรคเดโมแครตต้องการรักษาวงเงินดังกล่าวเอาไว้ที่600ดอลลาร์ต่อสัปดาห์นายมิทช์แมคคอนเนลล์ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสหรัฐได้กล่าวโจมตีพรรคเดโมแครตที่พยายามขัดขวางข้อเสนอมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่โดยกล่าวว่าเป้าหมายของพรรคเดโมแครตคือการเสนอความช่วยเหลือให้กับชาวอเมริกันเพื่อหวังคะแนนนิยมก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.นี้ทางด้านนางแนนซีเพโลซีประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ว่าพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันมีจุดยืนที่แตกต่างกันเกี่ยวกับวงเงินของมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่โดยพรรคเดโมแครตเสนอวงเงินมากกว่า3ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงแรกก่อนที่จะลดลงมาเหลือ2.2ล้านล้านดอลลาร์ในขณะที่พรรครีพับลิกันยืนยันวงเงินราว1.3ล้านล้านดอลลาร์

“ทรัมป์” ยันไม่ยืดเส้นตายขายกิจการ “ติ๊กต็อก” ในสหรัฐ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์แห่งสหรัฐยืนยันว่าจะไม่ขยายเวลาที่กำหนดให้ไบต์แดนซ์ (ByteDance) ขายกิจการติ๊กต็อก (TikTok) ในสหรัฐจากวันที่15ก.ย. ไปเป็นวันอื่นปธน.ทรัมป์กล่าวว่าTikTokต้องขายกิจการในสหรัฐมิฉะนั้นจะถูกสั่งปิดด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงซึ่งมีแค่2ทางเลือกเท่านั้นและจะไม่มีการขยายเส้นตายออกไปสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่าByteDanceมีแนวโน้มจะไม่สามารถขายกิจการTikTokในสหรัฐได้ทันเส้นตายในวันที่15ก.ย. ตามที่ปธน.ทรัมป์กำหนดไว้หลังจีนได้มีการปรับปรุงกฎระเบียบควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีใหม่ทำให้การเจรจากับบริษัทที่สนใจซื้อกิจการติ๊กต็อกเช่นออราเคิลและไมโครซอฟท์ซึ่งจะจับมือเป็นพันธมิตรกับวอลมาร์ทนั้นเป็นไปอย่างยากลำบากปธน.ทรัมป์ได้สั่งให้ไบต์แดนซ์ขายธุรกิจติ๊กต็อกในสหรัฐเนื่องจากวิตกเกี่ยวกับการจัดการด้านความปลอดภัยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานโดยติ๊กต็อกซึ่งเป็นแอปวิดีโอสั้นยอดนิยมนั้นมีผู้ใช้งานราว100ล้านคนต่อเดือนในสหรัฐทั้งนี้ปธน.ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งบริหารเมื่อวันที่6ส.ค.ที่ผ่านมาโดยระบุว่าไบต์แดนซ์จะต้องขายกิจการติ๊กต็อกก่อนวันที่15ก.ย.ที่จะถึงนี้

- Advertisement -

- Advertisement -

Leave A Reply

Your email address will not be published.

This website uses cookies to improve your experience. We'll assume you're ok with this, but you can opt-out if you wish. Accept Read More