มาดูภาพรวมการเคลื่อนไหวของ “ราคาทองคำ” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาทองคำได้แกว่งตัวแรงร่วม 100 ดอลลาร์ โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,974 ดอลลาร์ ก่อนจะร่วงลงแรงมาแตะ 1,878ดอลลาร์ และมาปิดสัปดาห์ที่ 1,889 ดอลลาร์
โดยภาพรวมแล้ว ลดลงไปประมาณ 10 ดอลลาร์ แต่ราคายังทำจุดต่ำสุดและสูงสุดสูงกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ ราคาทองคำเฉพาะวันศุกร์ที่ผ่านมา (25 ก.พ.)
แกว่งตัวในกรอบที่แคบลง เหลือประมาณ 30 ดอลลาร์ หลังจากที่แกว่งตัวแรงในวันพฤหัส โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,921 ดอลลาร์ ก่อนจะลงมาแตะ 1,882 ดอลลาร์ และกลับไปปิดตลาดที่ 1,889 ดอลลาร์ ลดลงเกือบ 15 ดอลลาร์
โดยปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวแรง ยังมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งระว่างรัสเซีย และ ยูเครน แม้ว่าในช่วงปลายสัปดาห์ ดูเหมือนสถานการณ์การสู้รบจะคลี่คลายไปในทางที่ดี
แต่ล่าสุด ทางกลุ่มประเทศที่สนับสนุนประเทศยูเครนได้ออกมาตอบโต้
โดยมีรายงานว่า ชาติพันธมิตรตะวันตก ได้แก่ คณะกรรมาธิการยุโรป ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี สหราชอาณาจักร แคนาดา และสหรัฐฯ ร่วมกันออกแถลงการณ์ ว่าจะตัดธนาคารรัสเซียออกจากระบบ SWIFT หรือ สมาคมโทรคมนาคมทางการเงินโลก ส่งผลให้ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารของประเทศอื่น ๆ ได้
นอกจากนี้ จะกำหนดมาตรการที่เข้มงวดเพื่อป้องกันไม่ให้ธนาคารกลางรัสเซียนำเงินสำรองระหว่างประเทศไปใช้ในลักษณะที่อาจบ่อนทำลายการคว่ำบาตร
ก่อนหน้านี้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ได้มีมติเรียกร้องให้รัสเซียยุติการใช้กำลังกับยูเครน และถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากดินแดนยูเครนในทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข พร้อมเรียกร้องให้รัสเซียยกเลิกการรับรอง 2 แคว้นในยูเครนตะวันออกให้เป็นเอกราชด้วย
แต่ทางรัสเซียซึ่งเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่เป็นสมาชิกถาวรของ UNSC นอกเหนือจาก สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และ จีน ใช้สิทธิยับยั้งหรือวีโต้ (Veto) ร่างมติดังกล่าว
ทั้งนี้ UNSC มีสมาชิก 15 ประเทศ เป็นสมาชิกถาวร 5 ประเทศ และสมาชิกไม่ถาวร 10 ประเทศ โดยมี 11 ประเทศลงมติสนับสนุนร่างมติดังกล่าว และมี 3 ประเทศที่งดออกเสียงคือ จีน ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และอินเดีย
ด้าน นายมงคล นิมิตภาคย์ เทรดเดอร์ของ จีแคป โกลด์ กล่าวว่า
แม้ราคาทองคำเมื่อวันศุกร์จะปรับตัวลดลง แต่ยังต้องจับตาสถานการณ์ระหว่าง รัสเซีย และ ยูเครน อย่างใกล้ชิด เพราะถือเป็นปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา และสถานการณ์ได้มีการปรับเปลี่ยนรายวันทำให้ราคาทองคำเคลื่อนไหวแรง (รับชมคลิปเสียงสัมภาษณ์)
ที่สำคัญ สถานการณ์ดังกล่าวยังส่งผลต่อตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ ทั้ง ราคาน้ำมัน และเงินเฟ้อ
ซึ่งคาดว่า จะส่งผลต่อการตัดสินใจต่อการปรับเปลี่ยนนโนยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในรอบการประชุม FOMC ในเดือน มีนาคม นี้ โดยเฉพาะเรื่องการปรับดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เพราะหากว่าไม่สามารถปรับขึ้นได้ 0.5% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อาจจะส่งผลดีต่อราคาทองคำได้
ทั้งนี้ ในมุมมองทางเทคนิค ในระยะกลาง และ ยาว ราคาทองคำยังมีโอกาสไปได้ต่อ เพราะยังมีปัจจัยเรื่องของเศรษฐกิจเข้ามาหนุน โดยราคามีโอกาสที่จะขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดได้ แต่จุดที่จะเข้าซื้อสะสม น่าจะรอให้ราคาทองคำย่อตัวลงไปแถว 1,850 ดอลลาร์ หรือ ต่ำกว่านั้น
ขณะที่ นักลงทุนระยะสั้น ในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวแรง ต้องเน้นวินัยในการลงทุน โดยต้องตั้งจุดตัดขาดทุนและจุดขายทำกำไรทุกครั้ง
Comments are closed, but trackbacks and pingbacks are open.