3-7-20
คำแนะนำ :
เน้นการทำกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว แต่จำเป็นต้องตั้งจุดทำกำไรและจุดตัดขาดทุน โดยเปิดสถานะขายในโซน 1,779-1,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตัดขาดทุนหากราคาผ่าน 1,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เข้าซื้อคืนเมื่อราคาอ่อนตัวลงในบริเวณโซน 1,758 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แนวรับ : 1,758 1,747 1,732 แนวต้าน : 1,779 1,790 1,803
ปัจจัยพื้นฐาน :
ราคาทองคำวานนี้ปิดปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.33 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ว่าราคาทองคำจะร่วงลงแรงหลังสหรัฐเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 4.8 ล้านตำแหน่งในเดือนมิ.ย. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 3 ล้านตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานเดือนมิ.ย. ก็ลดลงเกินคาดสู่ระดับ 11.1% ปัจจัยดังกล่าวกดดันให้ราคาทองคำดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดบริเวณ 1,757.25 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะมีแรงซื้อ Buy the dip เข้ามาหนุนราคาให้พุ่งขึ้น อีกทั้งตัวเลขอื่นๆ อาทิ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงาน, ตัวเลขขาดดุลการค้าและคำสั่งซื้อภาคโรงงานกลับออกมาแย่กว่าที่คาดจึงเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยส้รางแรงซื้อกลับเข้าสู่ตลาดทองคำ แต่ปัจจัยที่ทำให้ราคาทองคำดีดตัวขึ้นแรง คือ ความวิตกเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของยอดผู้ติด COVID-19 ในสหรัฐ หลัง Reuters รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในฟลอริด้าเพิ่มขึ้น 10,109 รายสู่ระดับ 169,106 ราย ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทั่วสหรัฐเพิ่มขึ้น 56,800 จากวันก่อนหน้า ตามข้อมูลที่เก็บรวบรวมโดยมหาวิทยาลัย Johns Hopkins และ Bloomberg News ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจบั่นทอนการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานในฤดูร้อน รวมถึงกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจัยนี้เองกระตุ้นให้นักลงทุนกลับเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยอีกครั้ง ส่งผลให้ราคาทองคำทะยานขึ้นจากระดับต่ำสุด สู่ระดับสูงสุดบริเวณ 1,779.62 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในระยะเวลาเพียงไม่นาน ด้านกองทุน SPDR ถือครองทองเพิ่ม +9.36 ตัน สำหรับวันนี้ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ เนื่องจากตลาดเงิน ตลาดทุน รวมถึงตลาดทองคำของสหรัฐจะปิดทำการเนื่องจากในวันชาติสหรัฐอเมริกา (Independence Day)
ปัจจัยทางเทคนิค :
หากราคาทองคำยังไม่สามารถยืนเหนือโซน 1,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้แรงซื้อยังคงถูกจำกัด สำหรับวันนี้ประเมินแนวต้านระยะสั้นในโซน 1,779 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากผ่านไปได้แนวต้านสำคัญจะอยู่ในบริเวณ 1,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่แนวรับนั้นยังประเมินในโซน 1,758 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวรับสำคัญที่ 1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์
กลยุทธ์การลงทุน :
แนะนำลงทุนในกรอบราคา เปิดสถานะขายทำเพื่อกำไรระยะสั้น หากราคาทองคำไม่ผ่านแนวต้านบริเวณ 1,779-1,790 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เมื่อราคาทองคำอ่อนตัวลงทยอยเข้าซื้อคืนสามารถยืนเหนือโซน 1,758-1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์อย่างแข็งแกร่ง
ข่าวสารประกอบการลงทุน :
- (+) วุฒิสภาสหรัฐผ่านร่างกฎหมายเล็งเป้าหมายธนาคารจากประเด็นจีนออกกฎหมายคุมฮ่องกง เมื่อวานนี้วุฒิสภาสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติร่างกฎหมายเพื่อลงโทษธนาคารที่ทำธุรกิจกับเจ้าหน้าที่จีนที่บังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฉบับใหม่ต่อฮ่องกงและส่งไปยังทำเนียบขาวเพื่อให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐลงนามเพื่อออกเป็นกฎหมาย เมื่อวันพุธสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวโดยปราศจากเสียงคัดค้านเช่นกัน ซึ่งเป็นตัวอย่างที่แทบไม่ค่อยเกิดขึ้นในการสนับสนุนอย่างท่วมท้นระหว่าง 2 พรรคการเมือง ซึ่งสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับการบั่นทอนการปกครองตนเองที่ทำให้ฮ่องกงรุ่งเรืองในฐานะเมืองที่มีเสรีภาพมากที่สุดของจีนและศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ
- (+) ยอดผู้ติดโควิด-19 เพิ่มใน 37 รัฐของสหรัฐขณะฟลอริดาพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 10,000 คน บทวิเคราะห์เมื่อวานนี้ระบุว่า กว่า 35 รัฐของสหรัฐเผชิญการเพิ่มขึ้นของยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นสัญญาณที่อ่อนแอล่าสุดที่ว่า การระบาดของโควิด-19 ซึ่งครั้งหนึ่งคิดว่ากำลังลดน้อยลง แพร่กระจายอย่างรวดเร็วอีกครั้ง รัฐฟลอริดา ซึ่งอยู่ในกลุ่มรัฐที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการทะยานขึ้นของเดือนมิ.ย. รายงานผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่กว่า 10,000 คนเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการทะยานขึ้นมากที่สุดจนถึงขณะนี้และมากกว่ายอดผู้ติดเชื้อรายวันรายใหม่ในประเทศยุโรปใดๆในช่วงการระบาดสูงสุด รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาดอีกแห่งหนึ่ง มีผลตรวจเป็นบวกเพิ่มขึ้น 37% โดยการรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น 56% ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
- (+) ก.ต่างประเทศจีนชี้คอมเมนต์รมว.ตปท.สหรัฐกรณีกม.ความมั่นคงมีอคติ โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวถึงกรณีการแสดงความคิดเห็นของนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศสหรัฐเกี่ยวกับกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติที่บังคับใช้กับฮ่องกงว่า ความเห็นดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความไม่รู้และอคติ สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า จ้าว ลี่เจียน โฆษกได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในการแถลงข่าวประจำวัน โดยชี้ว่า รมว.ต่างประเทศสหรัฐไม่รู้กฎหมายเกี่ยวกับการปกป้องความมั่นคงของประเทศในเขตปกครองพิเศษฮ่องกง และการดึงประเด็นสิทธิมนุษยชนเข้ามาเกี่ยวข้องก็ถือเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง
- (+) สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานสูงกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 1.43 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.35 ล้านราย ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านรายติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 15 แม้ว่ารัฐต่างๆ ได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง
- (+) สหรัฐเผยขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ค. หลังส่งออกร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี สหรัฐขาดดุลการค้าเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันในเดือนพ.ค. เนื่องจากการส่งออกร่วงลงมากกว่าการนำเข้า ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการค้าทั่วโลก กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐขยายตัวเพิ่มขึ้น 9.7% ในเดือนพ.ค. สู่ระดับ 5.46 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2561 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 5.31 หมื่นล้านดอลลาร์
- (-) สหรัฐเผยคำสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ค.เพิ่ม 8% ดีดขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐปรับตัวขึ้น 8% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบสามเดือน แต่ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 8.9% หลังจากร่วงลง 13.5% ในเดือนเม.ย. และลดลง 11% ในเดือนมี.ค.
- (-) สหรัฐเผยจ้างงานเพิ่ม 4.8 ล้านตำแหน่ง, อัตราว่างงานลดลงแตะ 11.1% ในเดือนมิ.ย. กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 4.8 ล้านตำแหน่งในเดือนมิ.ย. มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 3 ล้านตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานเดือนมิ.ย. ลดลงสู่ระดับ 11.1% จากระดับ 13.3% ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการลดลงเดือนที่สองติดต่อกัน ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าอัตราว่างงานจะอยู่ที่ 12.3%
- (-) ดาวโจนส์ปิดบวก 92.39 จุด ขานรับตัวเลขจ้างงานสหรัฐพุ่งเกินคาด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 ก.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้นเกินคาดในเดือนมิ.ย. ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่า การฟื้นตัวของตลาดแรงงานจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ลดแรงบวกในระหว่างวัน เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,827.36 จุด เพิ่มขึ้น 92.39 จุด หรือ +0.36% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,130.01 จุด เพิ่มขึ้น 14.15 จุด หรือ +0.45% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,207.63 จุด เพิ่มขึ้น 53.00 จุด หรือ +0.52%
ขอขอบคุณ : บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG)