แม้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองคำจะสามารถปิดตลาดเหนือ 1,900 ดอลลาร์ได้ แต่เปิดตลาดในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม ราคาได้ขยับลดลงมาเคลื่อนไหวไซด์เวย์ใต้เส้นค่าเฉลี่ยแต่ยังไม่ลงลึกมากนัก
“การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงนี้ คาดว่าจะขยับไซด์เวย์ในกรอบ 1,880-1,920 ดอลลาร์ ไปจนถึงช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีในช่วงต้นเดือนหน้า แต่เชื่อว่าราคาจะไม่ไหลลงลึกมาก เพราะความต้องการทองคำยังมีมาก เมื่อราคาลงถึงแนวต้านก็จะมีแรงซื้อกับเข้ามา ดังนั้นหากว่าราคาดลงต่ำกว่าระดับ 1,900 ดอลลาร์ ก็เป็นจุดน่าสนใจที่จะเข้าซื้อเก็บ หรือทำกำไรระยะสั้นได้
อย่างไรก็ดีในช่วงนี้ต้องติดตามการเคลื่อนไหวของกองทุนทองคำ ซึ่งอาจจะมีการเทขายออกมา เพื่อปรับพอร์ทการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งอาจจะทำให้ราคาไหลลงลึกได้ โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา SPDR ก็ขายติดต่อ 4 วันรวมเกือบ 10 ตัน” ดร.พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าวกับ GoldAround.com
ขณะที่กลุ่มนักลงทุนที่มีทองคำในราคาสูง ขอให้เฝ้าติดตามในวันนับคะแนนเลือกตั้ง ปธน. เพราะราคาอาจจะผันผวนหนัก โดยในครั้งที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนราคาถึง 19 ครั้ง ซึ่งในครั้งนี้คาดว่าเมื่อ “โจ ไบเดน” มีคะแนนนำราคาทองคำจะปรับขึ้น แต่หาก “ทรัมป์”นำราคาทองจะลดลง ทำให้มีโอกาศที่จะขายทองคำออกไป ก่อนจะไปตามซื้อเก็บ
เพราะจากสถิติที่ผ่านๆ มา พบว่าหลังจากที่มีการประกาศผลการเลือกตั้งราคาทองคำจะปรับลดลง โดยในครั้งที่แล้วหลังจากการประกาศผลไปจนถึงสิ้นปีราคาลดลงกว่า 100 ดอลลาร์ เนื่องจากกลุ่มกองทุนจะต้องปรับตัวเลขทางบัญชีก่อนปิดยอดทั้งปี ก่อนที่ราคาทองคำจะปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า
“จากการศึกษาบทวิเคราะห์จากทั้งในและต่างประเทศ ทำให้เชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้ราคาทองคำอาจจะยังไม่แตะ 2,000 ดอลลาร์ แต่ปีหน้าราคาจะขยับทะลุ 2,300-2,400 ดอลลาร์ เพราะนโยบายของผู้นำสหรัฐคนใหม่จะเริ่มประกาศใช้ เรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำ เรื่องของเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น และปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 ยังต้องเร่งแก้ไข รวมถึงการแพร่ระบาดของ. Covid-19 ยังคงอยู่ แต่ทั้งนี้ยังยืนยันว่าในระยะยาวราคาทองคำยังมีแนวโน้มการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ กล่าว
ส่วนผลการเลือกตั้งปธน.ที่จะออกมาเช่นไร เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อราคาทองคำ แต่ผู้สมัครแต่ละคนก็จะมีจุดอ่อนจุดแข็งที่ต่างกัน หาก“ทรัมป์” ได้รับเลือก เชื่อว่าโลกจะไม่ปั่นป่วนมาก เพราะทุกประเทศรู้จักนโยบายของทรัมป์อยู่แล้ว ในทางกลับกันหาก “โจ ไบเดน” ได้รับชัยชนะ ก็ต้องมาคอยดูกันว่าจะมีแนวทางการบริหารอย่างไร แต่สิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก็คือจะมีปริมาณเงินเข้าสู่ระบบมหาศาล โดยคาดว่าจะมากกว่าทรัมป์ 30-40%
แต่สิ่งที่แตกต่างของการเลือกตั้งครั้งนี้คือ จะมีจำนวนผู้เลือกตั้งล่วงหน้าจำนวนมาก หากผลการนับคะแนนออกมาแล้ว“ทรัมป์”แพ้ เชื่อว่าจะมีการประท้วง ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาทองคำ ที่สำคัญหาก“ทรัมป์”พ่ายแพ้ ทางฝั่งพรรครีพับลิกัน จะเสียหน้าอย่างหนักเพราะจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ ประธานาธิบดีไม่สามารถครองแชมป์ได้ 2 ครั้งติด ซึ่งจะชี้ให้เห็นถึงคะแนนความนิยมต่อตัวพรรคและแนวนโยบายที่ใช้